เล่าโดย
อาจารย์ เสริมพงษ์ คุณาวงศ์
มหาวิทยาลัยมหิดล
วิทยาเขตนครวรรค์
สืบเนื่องจาก การไปดูงานพุทธฉือจี้ที่ไต้หวัน ของโครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ 14-17 ม.ค. 2553 โดยเน้นที่โรงพยาบาลทั้งการออกแบบ การจัดการ ระบบจิตอาสาแนวฉือจี้ และการจัดการขยะรีไซเคิลทั้งในโรงพยาบาลและภายนอก คณะที่ไปประกอบด้วย รองอธิการบดีฝ่ายวิทยาเขตฯ อาจารย์มหาวิทยาลัย 2 ท่าน แพทย์ 2 ท่าน พยาบาลวิชาชีพ 6 ท่าน และนักการศึกษา 1 ท่าน รวม 12 ท่าน การดูงานครั้งนี้ ผมมีความรู้สึกความคิดหลายประการ อยากแบ่งปันให้เพื่อนๆได้รับรู้
ในการดูงานที่ไต้หวัน จะมีสมาชิกฉือจี้มาต้อนรับดูแลตลอดเวลา หนึ่งในผู้มาดูแลที่พวกเราประทับใจมากท่านหนึ่ง เป็นสมาชิกอาวุโสอายุ 73 ปี ท่านเป็นสมาชิกฉีอจี้กว่า 20 ปีแล้ว ท่านเรียกตัวเองว่า สุ่ยมามา สุ่ยมามา บอกว่าคนฉือจี้ หน้ายิ้ม ปากหวาน ดวงตาสดใส ตัวอ่อนโน้มลงง่าย สองมือว่องไว เคลื่อนไหวนิ่มนวล ทำให้เห็นว่าชาวฉือจี้ฝึกกายภายนอกสู่ใจภายใน เมื่อฝึกนานเข้า ใจภายในจะแสดงออกสู่กายภายนอกเป็นธรรมชาติ ท่านเล่าเรื่องประวัติความเป็นมาของท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน ผู้ก่อตั้งมูลนิธิพุทธฉือจี้ และชาวฉือจี้ตั้งแต่สมัยแรกๆ ทำให้มองเห็นปัจจัยความเป็นไปจนก่อให้เกิดวันนี้ชัดขึ้น ช่วยให้มีกำลังใจทำความดี เห็นระบบแม่ไก่ของฉือจี้ที่ใส่ใจฟูมฟัก สมาชิกรุ่นหลังด้วยความรักและไมตรีอันอบอุ่น สร้างวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกัน ที่ดึงดูดคนให้เข้ามา จากน้ำหยดน้อยมารวมกันเป็นธารน้ำใหญ่ที่ทรงพลัง สามารถรังสรรค์สิ่งมหัศจรรย์ได้ สร้างปีติสุขแก่ผู้คน เป็นเสน่ห์ที่ชวนให้หวนหาอยากเข้าร่วมงาน
การใช้ภาษามือเป็นการฝึกฝนให้กาย วาจา ใจ เป็นหนึ่งเดียวกัน กล่าวคือ คำพูดคือความคิดส่งพร้อมกับการเคลื่อนมือ 3 ส่วนหลอมเป็นหนึ่งในขณะเดียวกัน ถ้าขณะนั้นอารมณ์ความรู้สึกตรงกับสารที่ส่งไป พลังของการสื่อความจะชัดแรง ทรงพลัง
การใช้ภาชนะใส่อาหาร ตะเกียบ ช้อน ถ้วยน้ำส่วนตัว แม้ไม่เห็นเหตุผลชัดนักว่า เป็นเหตุผลเรื่องสุขภาพ การรักษาสิ่งแวดล้อม หรือการฝึกตนเอง แต่ก็ชวนให้นึกถึง การกินข้าวในกะละมังของชาวสันติอโศก และการพกช้อนส้อมติดตัวของพระสงฆ์ไทยสมัยก่อน สำหรับผมการทำเช่นนี้เป็นเครื่องเตือนตัวเอง ให้นึกถึงสิ่งแวดล้อม คุณค่าอาหาร และสำรวมการกิน
การเยี่ยมชมศาลาจิ้งซือ จากสระบัวที่สงบเย็น นำสู่เรื่องราวดีๆของชาวฉือจี้ ห้องโถงที่ประชุมที่สง่างาม สงบ การออกแบบที่นั่งที่สะท้อนปัญญาอันละเอียดอ่อน สมคำ “จิ้งซือ” ที่แปลหยาบๆว่า ปัญญาที่เกิดจากความสงบ ได้รับรู้ความตั้งใจดูแลของชาวฉือจี้ แม้เพิ่งพบกันก็สังเกตได้สัมผัสได้ถึงความใส่ใจอันอบอุ่น
ที่โรงพยาบาลฮวาเหลียนฉือจี้ เห็นความละเอียดอ่อนในการจัดการสุขอนามัย เช่นก๊อกน้ำที่เปิดปิดน้ำโดยใช้ที่เหยียบ การออกแบบถังใส่ขยะ ใช้เทคโนโลยีไม่ซับซ้อน ประโยชน์ชัดเจน การจัดการแยกขยะตั้งแต่ต้นโดยคำนึงถึงผู้ใช้เป็นสำคัญ การจัดการที่มีระเบียบที่ชัดเจนมีเหตุผลทำให้เห็นคุณค่าของการมีวินัย
2
ที่มหาวิทยาลัยฉือจี้ การรับรู้เรื่องราวของบรมครูผู้ไร้เสียง แม้รู้เรื่องราวการปฏิบัติต่ออาจารย์ใหญ่มาแล้ว แต่สิ่งที่สัมผัสได้ขณะที่เยี่ยมชมคือ จิตใหญ่ที่ยินดีเสียสละสิ่งที่รักและหวงแหนให้กับคนที่รู้คุณค่า เพื่อสร้างประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ต่อผู้อื่น ความกตัญญูรู้คุณในใจของแพทย์ ที่ก่อเกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับญาติอาจารย์ใหญ่ ได้เห็นความรักความอาลัยผู้ที่จากไป แต่ก็ยังยินดีสละร่างกายให้เป็นเครื่องศึกษาให้ตนได้มีความรู้ เมื่อเปรียบเทียบกับการเรียนแพทย์ในไทยเราเรายังต้องพัฒนาอีกมาก
ที่ห้องพิธีชงชา สัมผัสเสียงกู่เจิ้งชวนให้วางเรื่องราวที่เพิ่งผ่านมาลง ได้เห็นอากัปกิริยาน้ำเสียง การพูดจาของท่านอาจารย์ที่เป็นภรรยาของท่านอธิการบดี ที่ท่านบรรยายเรื่องราวการชงชาแสดงผลการฝึกฝนจากภายในใจ สะท้อนออกมาเป็นกิริยาท่าทางภายนอก เป็นความสงบ สง่างาม อ่อนโยน นิ่มนวล ทำให้เกิดความชื่นชมประทับใจ การสาธิตพิธีการชงชาที่มีขั้นตอนที่พิถีพิถัน ละเอียดอ่อน น่าจะมีหลักวิชาแฝงอยู่มาก หากดูเพียงหยาบๆ น่าจะเป็นการฝึกจิตไม่ให้เป็นอิสระเผอเรอ ดูไปน่าจะเหมือนการฝึกมวยไทจี๋ฉวนที่มี 3 ขั้น คือ สิง(sing) ฝึกท่าทางให้ถูกต้อง อี้(yi) กำกับความคิดให้ถูกทาง พัฒนาจนเป็น เสิน((shen) เกิดปัญญาหยั่งรู้ผุดขึ้นมาเป็นธรรมชาติ เป็นการฝึกจิตที่เปรียบเหมือนฝึกลิงที่ไม่อยู่สุขให้เปลี่ยนเป็นม้าที่ใช้งานได้ มีพละกำลังมาก (เลี่ยนซินเปี้ยนอี้) ท่านอาจารย์ที่สาธิตชงชา ก็มีไมตรีที่อบอุ่นมาก ท่านยังกรุณามอบขนมที่แสนอร่อยให้พวกเราทุกคน
การเยี่ยมสมณรามจิ้งซือ อารามนักบวชที่ท่านธรรมาจารย์และพระภิกษุณีพำนักอยู่มา 40 ปีมีการก่อสร้างเพิ่มเติม 15 ครั้ง ท่านพาดูเเณรน้อยหินสลักนอนหนุนบักฮื้อ(ที่ใช้เคาะประกอบการสวดมนต์จีน ทำจากไม้เป็นรูปปลา)หลับตาพริ้มอย่างมีความสุข ท่านเตือนใจไม่ให้ประมาทในการปฏิบัติตน อย่าหยุดเพียงแค่สงบอย่างหลับไหล
เห็นผู้คนทั้งเด็กและคนชรา ช่วยกันบรรจุอาหารสำเร็จรูป เพื่อส่งไปช่วยเหลือผู้คนที่ประสบภัยในไฮติ ด้วยความกรุณาที่อุ่นระอุไอแห่งความรัก ประกอบการพิจารณาตรึกตรองด้วยปัญญา นำสู่การลงมือที่ละเอียดประณีตว่องไวทันการ จนถึงการมอบสิ่งที่ดีที่สุดแก่ผู้อื่นอย่างอ่อนน้อมสำนึกบุญคุณ
เห็นภาพท่านธรรมาจารย์ กับคนพิการ 3 คนกับสามล้อคันหนึ่ง คนหนึ่งตาดีขาเสียควบคุม
รถ คนขาดีแต่ตาบอดคอยถีบรถ คนที่สามทั้งตาไม่ดีขาก็เสียแต่มือใช้การได้ สามคนรวมกันสามารถทำความดีได้ ทำให้เห็นว่าการเกื้อกูลกันของผู้คน ที่ยอมรับในข้อด้อยที่พร่องของตนและยินดีรับการเสริมชดเชยจุดด้อยของตนจากผู้อื่นก็สามารถทำความดี โดยไม่มัวมาท้อกับความพิการ
การเห็นการใช้ประโยชน์จากสิ่งต่างๆรอบตัวอย่างถึงที่สุด ทำให้นึกถึงการใช้จีวรที่พระ
สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสแก่พระอานนท์ และเรื่องการเป็นเศรษฐีที่เริ่มต้นจากการใช้ประโยชน์จากซากหนูตายในเรื่องชาดก เตือนให้สังวรระวังการใช้สิ่งของ
3
การได้รับอาหารที่ปรุงโดยภิกษุณี ปรุงพิเศษเพื่อถูกปากคนไทย สะเทือนความรู้สึกในใจว่า เราทำความดีอะไรที่สมควรจะได้รับอาหารนี้หรือยัง เราได้ใช้สังขารร่างกายนี้ยังประโยชน์แก่โลกบ้างหรือเปล่า ได้เห็นการทำเทียนไข โรงงานแปรรูปอาหารเล็กๆ โรงงานทำเซรามิคที่ระลึกเล็กๆเพื่อขายในร้านเครือข่าย สร้างรายได้มาใช้จ่ายในงานของมูลนิธิ ไม่ขายให้ร้านค้าภายนอกบางส่วนทำไว้แจกเพื่อช่วยเหลือคน เป็นการพึ่งตัวเองโดยไม่เบียดเบียนรุกรานใคร มีแต่ให้ ไม่นำออกขายแข่งผู้อื่น
บรรยากาศที่โรงพยาบาลซินเตี้ยนฉือจี้ รู้สึกสบาย สงบ มีการจรรโลงใจให้มีความสุขด้วยเสียงดนตรี และงานศิลปะจากอาสาสมัคร ทุกวันเสาร์ผู้ป่วยและญาติจะได้รับเชิญร่วมงานเลี้ยงน้ำชากับหมอ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ มีโอกาสพูดคุยสนทนากัน มีการแสดงของแพทย์และพยาบาลเพื่อให้เห็นว่าหมอพยาบาลก็เป็นคนธรรมดาทั่วไป ที่จิ้งซือบุ๊คชอพ จับได้คำสอนท่านธรรมาจารย์ที่ “โดน” ใจ ให้มุ่งมั่นเดินหน้าอย่ามัวลังเล ตอกย้ำคำเตือนจากเณรน้อย
สถานีรีไซเคิล ดูสะอาดเป็นระเบียบ น่าชมประสิทธิภาพในการจัดการ ที่สถานีโทรทัศน์ ต้าอ้าย ได้ฟังเรื่องเล่าจากประธานฉือจี้ประเทศแคนาดา เรื่องการสร้างการยอมรับด้วยการสร้างความดีแบบฉือจี้ เช่นที่แคนาดา เมื่อชาวจีนและชาวตะวันออกที่ได้สิทธิเป็นพลเมืองเข้าไปอยู่จะไม่ได้รับการต้อนรับ ท่านจึงชวนให้ปฏิบัติตัวแบบชาวฉือจี้ด้วยการสละเงินสละเวลาออกช่วยคนที่ขาดแคลนพึ่งตัวเองไม่ได้ หลังจากการออกปฏิบัติการต่อเนื่องระยะหนึ่ง สถานการณ์ทุกอย่างก็ดีขึ้น ผู้คนที่ฉือจี้ให้ความช่วยเหลือบอกว่า ฉือจี้ไม่เหมือนองค์กรการกุศลอื่นๆที่มาช่วยเขา ตรงที่มาช่วยเขาแล้วยังขอบคุณเขาอีกด้วย ทำให้เขาไม่รู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า ศักดิ์ศรีความเป็นคนกลับคืนมาทำให้อยากทำดี ผลงานของชาวฉือจี้ที่แคนาดาทำให้นายกเทศมนตรีเมืองแวนคูเวอร์ มาออกปากบอกท่านธรรมาจารย์เมื่อครั้งมาเยี่ยมฉือจี้ ไต้หวันว่า “โชคดีที่เมืองแวนคูเวอร์มีชาวฉือจี้” กรณีการช่วยเหลือชาวจีนที่มณฑลอันฮุย คำพูดของผู้ว่าการมณฑลก็สะเทือนความรู้สึกผมมาก ที่ว่า “ถ้าแผ่นดินใหญ่ต้องรบกับไต้หวัน จะไม่มีทหารจากมณฑลอันฮุยไปออกรบ แม้แต่คนเดียว” ทำให้รู้สึกว่า การกระทำด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ที่ผ่านการฝึกฝนหล่อหลอมตนเองจนชัดเจน สามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆได้ จนเกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น ผมมั่นใจว่าสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ในทุกแห่งของโลก ตราบเท่าที่มีพลังแห่งศรัทธาในความรักที่ไม่มีเงื่อนไข และความมุ่งมั่นที่จะลงมือกระทำ ที่สำคัญเรามีเพื่อน มีเส้นทางที่เคยเดิน เป็นเครื่องมือช่วยให้เดินหน้าได้เร็วขึ้น สิ่งที่ต้องทำคือ “เริ่มทันที”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น