การเริ่มต้นทำงานเป็นอาสาสมัครฉือจี้
จะต้องทำอย่างไร?
โดย
นายแพทย์สมบูรณ์ นันทานิช
คำนำ
มีผู้สนใจ อยากทำงานเป็นอาสาสมัครฉือจี้บ้าง
มาถามข้าพเจ้าบ่อยๆ
ว่าจะต้องทำอย่างไร
แรกๆก็ตอบใครไม่ได้ เพราะยังไม่เข้าใจ
และไม่กล้าแนะนำใคร เพราะอาจแนะนำผิด
ถึงวันนี้ คุณเมตตา แซ่ชิว
อาสาสมัครอาวุโส ชาวไต้หวัน
ที่เป็นแม่ไก่ข้าพเจ้า
ได้อนุญาตให้ข้าพเจ้าให้คำแนะนำ
ผู้สนใจทั่วไป ให้มาเป็นอาสาสมัครฉือจี้ได้แล้ว
จริงๆแล้ว ฉือจี้สาขาประเทศไทย ตั้งมากว่าสิบปี
แทบไม่มีคนไทยมาเป็นอาสาสมัครเลย
มีแต่คนไต้หวัน ราวๆ สี่ ถึง ห้าสิบคน
ที่มาทำงานในเมืองไทยเท่านั้น
คุณสุชนเคยเล่าว่า
เคยประกาศเชิญชวนคนไทยให้มาเป็นอาสาสมัครฉือจี้
คณะชาวฉือจี้ ก็รอ จนเย็น จนค่ำ ที่มูลนิธิ
มีคนมาเพียงคนเดียว
ทุกคน รุม บรรยายให้ คนไทยคนนี้ ตามกำหนดจนจบ
เพิ่งมาสองสามปีมานี้ที่มีคนสนใจมากขึ้น
มีผู้ติดต่อให้ข้าพเจ้าไปบรรยาย เรื่อยๆ หลายครั้ง
แต่แรกๆ ข้าพเจ้าคิดว่า ตัวเองยังไม่ค่อยรู้เรื่องเลย
ไปพูดให้เขาฟังในสิ่งที่เราไม่รู้เรื่อง
เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ไม่สมควรไปเลย
แต่ก็อยากให้เขาได้รับสิ่งที่ดีๆ เช่นที่เราได้รับมาแล้ว
ข้าพเจ้าต้องโทรบอก คุณสุชน คุณเมตตา ขอให้ไปด้วยกันหน่อย
จะได้มีฐานอิงหน่อย ว่าที่พูดนี่
เป็นของแท้นะจ๊ะ มีอาจารย์มาด้วย
ได้ออกงานกับ อาจารย์ทั้งสองท่านหลายครั้ง
ก็เริ่มค่อยๆ เข้าใจ ซาบซึ้ง ถึงสิ่งที่ ฉือจี้ นำเสนอให้กับสังคมทั้งโลก
ค่อยๆ เข้าใจ ปณิธานท่านธรรมมาจารย์
เริ่มเข้าใจคำว่า ให้มาแบกภาระกิจของฉือจี้
เข้าใจว่า ทำไม ฉือจี้จึงเรียก ว่า กรรมการฉือจี้
ไม่ใช่สมาชิกฉือจี้ ที่เป็นแค่ อาสาสมัคร มาทำเป็นครั้งคราวตามโอกาส
เพราะชาวฉือจี้ คือผู้ที่ ต้อง มาแบกภาระกิจของฉือจี้
อาสาสมัครฉือจี้ ระดับ เริ่มต้น ฝึกหัด (สวมเสื้อเทา)
อาสาสมัครฉือจี้ ระดับ กรรมการฉือจี้ (สวมเสื้อน้ำเงิน มีตราโลโก้)
เป็นคำที่แสดงถึง แก่นแท้ของ บทบาท ของอาสาสมัคร ทั้งสองประเภท
และมีความหมายสากล ไปทั่วโลก
จุดเริ่มต้น
วิถีชีวิตของชาวฉือจี้แต่ละคน ที่เข้ามาสู่ แวดวง ชาวฉือจี้ แทบไม่เหมือนกันเลย
ข้าพเจ้า ได้ฟัง ชาวฉือจี้เล่าเรื่อง แลกเปลี่ยนในกลุ่ม ก็ทราบว่า
ทุกคนมากันต่างๆกัน จนเขาบอกกันต่อๆมาว่า
เพราะเรามีวาสนามาจากอดีตกาล
จึงมาพบกัน มาทำงานด้วยกัน ในปัจจุบันกาล
ยกตัวอย่าง
เมื่อครั้งมีการอบรม อาสาสมัครครั้งแรก ที่เชียงราย ปี พ.ศ.2551
มีชาวเชียงรายท่านหนึ่ง ท่านเห็นชาวฉือจี้ในทีวี อยากทำงานแบบนั้นบ้าง
ก็โทรศัพท์ไปที่มูลนิธิที่ กทม.
ทางมูลนิธิก็แนะนำว่า ขณะนี้กำลังมีการอบรมอาสาสมัครที่เชียงราย
ให้ไปหาที่ที่เรากำลังอบรมกันอยู่
อาสาสมัครท่านนี้ก็ให้สามีขับรถพาลูกทั้งครอบครัวมาอบรมเป็นอาสามัครฉือจี้
กับพวกเราที่เชียงราย
โอ มหัศจรรย์มาก
*
ขณะที่เราอบรมปีนั้น(2551) เราออกทำความสะอาด หมู่บ้าน วัด
ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่เชียงราย
ทำกันอย่างเป็นขบวน สวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อย
ชาวบ้านท่านหนึ่งก็มาขอสมัครป็นอาสาสมัครบ้าง
*
คุณนุช อยู่หาดใหญ่ นั่งรถไฟไป กทม.
ไปที่ทำการมูลนิธิฉือจี้ กทม
เพื่อสมัครเป็นอาสาสมัครฉือจี้โดยเฉพาะ
อยากช่วยเหลือคนแบบฉือจี้
ทั้งๆที่ท่านเองก็ไม่ได้เป็นคนที่ร่ำรวยเป็นเศรษฐี
ทางมูลนิธิตกใจมาก
ได้แนะนำว่าบ้านอยู่ภาคใต้ จะทำกิจกรรมฉือจี้ ที่ภาคใต้ก็ได้
ไม่ต้องมาถึง กทม ให้ไปที่ ภูเก็ต !!
ขณะนั้นที่ภาคใต้ มีกิจกรรมฉือจี้ เฉพาะที่ภูเก็ตเท่านั้น
คุณนุชต้องนั่งรถจากหาดใหญ่ ภูเก็ต ไปกลับ นาน 6-8 ชั่วโมง
เพื่อไปทำกิจกรรมจิตอาสาฉือจี้ที่ภูเก็ต ทุกๆเดือน มานานเกือบปี
ร่วมกับอาสาสมัครฉือจี้ที่ภูเก็ต
ท่านเป็นเมล็ดพันธ์ คนไทย ชาวใต้ เมล็ดแรกๆของหาดใหญ่ สงขลา
ปัจจุบัน ท่านกำลังอบรมเป็นกรรมการฉือจี้
จะไปเข้าพิธี โซ่วเจิ้ง พย 2554 นี้
*
ตัวข้าพเจ้ามาจากอ่านหนังสือ ดอกหญ้า ของ ชาวอโศก
ฉบับหนึ่งมีบทความที่เล่าการไปเยี่ยมชม ชาวฉือจี้ที่ไต้หวันของชาวอโศก
ข้าพเจ้าอ่านแล้ว ซาบซึ้งใจมาก รู้สึกว่า
ชาวฉือจี้เขาทำกันถึงขนาดนี้เชียวหรือ
อ่านไป เช็ดน้ำตาไป
ชาวพุทธในโลกนี้ ไม่เห็นมีใครทำแบบที่ไต้หวันทำ
ชาวพุทธเรา ควรต้องมีกิจกรรมในลักษณะแบบชาวฉือจี้ทำนี้ จึงจะสามารถ
ตอบสังคมได้ เป็นความสมบูรณ์พร้อมของลูกศิษย์พระพุทธเจ้า
เป็นการรวมจุดแข็งของ พุทธแบบเถรวาท และ พุทธแบบมหายานมารวมกัน
จนไม่มีการแบ่งแยกนิกาย
ไม่ยึดติดว่าเป็นคนชาติใด เชื้อชาติใด สัญชาติใด
ผิวสีอะไร ถือลัทธิ ความเชื่ออะไร
1.ไม่ทำความชั่วทั้งปวงโดยสิ้นเชิง
2.ลงมือทำความดีอย่างมีปัญญา
3.พัฒนาจิตตนเองให้บริสุทธ
เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
เป็นคำสอนของ พ่อแม่ ครู อาจารย์ ในทุกๆนิกาย
เหมือนกันตรงกัน
ถ้าผิดไปจากนี้แล้ว
ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น