ดาริกา ธารบัวสวรรค์
เมื่อวันที่10 – 13 ธันวาคม ที่ผ่านมา โครงการวัยใสใส่ใจบุพการี ได้จัดการอบรมไป 2 กิจกรรม โดยกิจกรรมที่ 1 เป็นเรื่องเยาวชนรุ่นใหม่ใส่ใจผู้สูงอายุ และกิจกรรมที่ 2 เป็นเรื่องผู้อาวุโสคือรากแก้วของครอบครัวและสังคมไทย มีเยาวชนและ อสม. เข้าร่วมโครงการวมทั้งสิ้น 45 คน การอบรมครั้งนี้มีวิทยากรจากมูลนิธิพุทธ
ฉือจี้ไต้หวัน ในประเทศไทยเป็นวิทยากรหลัก วัตถุประสงค์ของกิจกรรมเพื่อใส่ความรัก ความเมตตาลงในใจเยาวชน การดำเนินการอบรมมีทั้งในสถานที่และนอกสถานที่ได้แก่ การไปเยี่ยมผู้ป่วยที่โรงพยาบาล ไปเยี่ยมคนชราที่สถานสงเคราะห์คนชรา และที่สำคัญคือกิจกรรมร่มโพธิ์ร่มไทรด้วยการให้เยาวชนป้อนอาหาร และล้างมือและเท้าให้พ่อแม่ ทำให้พ่อแม่ลูกหลายคนถึงกับหลั่งน้ำตา เพราะเพิ่งได้ทำกิจกรรมนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต
เสียงสะท้อนที่เกิดขึ้นจากการอบรม นอกจากเยาวชนและครอบครัวแล้ว แทบทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในโครงการนี้ต่างรู้สึกประทับใจและรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นในใจตนเอง บางคนได้รับรู้การมีคุณค่าของตนผ่านอ้อมกอดของคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยในชีวิต แม้นแต่แม่ครัวใหญ่ประจำรีสอร์ทสถานที่จัดการอบรมยังเปลี่ยนจากคนชอบดุ เสียงดัง และไม่ยอมลงให้ใคร กลายเป็นคนโอบอ้อมอารี ใส่ใจและดูแลผู้อื่น
ถ้าอยากรู้มากว่านี้ก็ลองตามเรามาค่ะ...................
เสียงสะท้อนจากใจน้อง
เยาวชนหญิง ชั้น ม. 4
กิจกรรมนี้ทำให้เรารู้ว่าพ่อแม่เลี้ยงเรามาจนเติบใหญ่นั้น ท่านไม่เคยหวังอะไรตอบแทนจากเราเลย ในฐานะที่เราเป็นลูกเราควรดูแลเอาใจใส่ท่านมากๆ เวลามีแฟนเรายังบอกรักได้เลย แต่ทำไมพ่อแม่เราจะบอกรักท่านไม่ได้ เวลามีแฟนเราหอมแก้มแฟนได้ แต่ทำไมพ่อแม่ เราถึงหอมแก้มไม่ได้ ทำอาหารให้ท่านทานบ้างดีกว่าทำอาหารแล้วไปวางข้างโลง แล้วต้องเคาะโลงเรียกท่านมาทานข้าว ตัวเราเองแม่เสียไปตั้งนานแล้ว ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะบอกรักแม่ ดูแลแม่ทุกวันเลย
กิจกรรมที่ประทับใจ
สำหรับวันนี้ประทับใจทั้งสามกิจกรรม เพราะเป็นการช่วยเหลือคนที่เราไม่รู้จัก ได้พูดคุยถามสารทุกข์
สุกดิบ ให้ความสุขกับพวกเขาทำให้เรามีรอยยิ้ม โดยเฉพาะสถานสงเคราะห์คนชรา ขณะที่เรานั่งอยู่แล้วเห็นพวกคุณตาคุณยายเดินมา พอเห็นเราพวกท่านก็ดีใจ ปลาบปลื้มใจ เราได้ให้ความสุขกับคุณตาคุณยายทำให้พวกท่านมีความสุข ทำให้ท่านรู้สึกว่าตัวเองนั้นมีค่า เพราะคนชราส่วนใหญ่จะคิดว่าตนเองไม่มีค่า ถ้ามีโอกาสจะไปเยี่ยมคุณตาคุณยายอีก
ตอนที่จะกลับ เดินไปส่งคุณยาย เราเดินเข้าไปในโรงนอน เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของพวกท่านแล้วสงสาร
“ พ่อแม่มีบุญคุณมากมายมหาศาล เราควรดูแลพ่อแม่เหมือนกับที่ท่านดูแลเรามาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่”
รูปภาพแทนความรู้สึกเราทุกคนคือครอบครัวเดียวกัน
ความคิดเห็นของกระบวนกร
เด็กวัยใสที่พบในค่ายนี้ ถูกฉาบทาด้วยสิ่งแวดล้อมรอบตัว กระแสความนิยมในหมู่เพื่อนที่ไหลตามกระแสสื่อที่รับอิทธิพลจากระบบทุนขนาดใหญ่ จนมองไม่เห็นที่ยืนของตนในสังคม ยิ่งเปรียบเทียบกับเด็กวัยเดียวกันในตัวจังหวัดอาจรู้สึกถึงความด้อยต้อยต่ำชั้น รึเปล่า! เธอจึงแสดงกิริยาอาการบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่า “ทันสมัย” “เป็นตัวของตัวเอง” เพื่อรู้สึกว่าเป็นใครสักคนในสังคม ขณะที่หลายคนพอใจที่จะหยุดคิดค้นหาตัวเอง เพียงปล่อยชะตาชีวิตไหลตามกระแสสังคม ที่จริงแล้ว อาการเช่นนี้พบได้ในทุกที่ ทุกระดับฐานะ ในสังคมไทยปัจจุบัน เพียงต่างกันที่บริบทแวดล้อม และความเข้มข้น ปัญญาจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ “เห็น” ความจริง
เมื่อพวกเธอได้รับรู้และประสบกับเรื่องราวต่างๆในค่าย หลายเหตุการณ์สะเทือนความรู้สึก ทำให้หันกลับมามองเห็นเรื่องของตนเองในเรื่องคนอื่น หลายเหตุการณ์เห็นค่าของตนเองที่เป็นผลมาจากการกระทำให้กับผู้อื่น หลายคนอาจจะเริ่มตระหนักถึงความหมายของชีวิตของตน การทำซ้ำในกิจกรรมต่อเนื่อง น่าจะเป็นหนทางที่สร้างการเรียนรู้ที่ดีให้กับคนอีกหลายคนจากค่ายนี้ ผมคิดเช่นนั้น.
ความรู้สึกของคนทำหน้าที่ถอดบทเรียนในโครงการ
ทุกวันนี้เด็กในสังคมไทยของเรามีความเจ็บปวดใจมากมายเหลือเกิน และส่วนใหญ่ผู้ที่สร้างรอยแผลก็คือคนในครอบครัว ระหว่างอบรมต้องแจกยาแก้ปวดหัว แก้ปวดจุกเสียดแน่นท้องให้กับเด็ก ๆ ตั้งแต่เช้าจนพลบค่ำ
ยาที่แจกให้นี้ช่วยให้อาการปวดทุเลาได้เพียงชั่วคราว เพราะอาการปวดจริงๆ น่าจะอยู่ที่ใจ ต้องลงมือนวดเนื้อนวดตัวและโอบกอด จึงช่วยลดยาที่ต้องกินลง แต่อ้อมกอดของคนนอกบ้านฤาจะสำคัญเท่าคนในบ้าน ภาพลูกๆ นั่งอยู่แทบเท้าพ่อแม่และเริ่มป้อนอาหารให้คนที่เคยป้อนอาหารตนมาตั้งแต่เกิด ต่างฝ่ายต่างรู้สึกเก้อเขิน บางคู่ในใจร้องไห้แต่กลับกลบมันด้วยเสียงหัวเราะ ต่อเมื่อเริ่มเช็ดหน้า ล้างมือและเท้าถึงกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เด็กบางส่วนถึงแม้นจะยังมีพ่อแม่อยู่ แต่ทำได้เป็นเพียงผู้ดูพ่อแม่ของเพื่อน ๆ เท่านั้น เด็ก ๆ เหล่านี้เมื่อไปเยี่ยมคนชราที่สถานสงเคราะห์ พวกเขาล้วนเรียกคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยนี้ว่า “คุณตา คุณยาย” ได้อย่างสนิทสนม และสามารถสวมกอดคนแปลกหน้าเหล่านี้ได้อย่างไม่เคอะเขิน นับเป็นเรื่องน่าคิดของคนใกล้ตัวและไกลตัวของสังคมไทยเรา
แทนใจน้อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น