แนวคิดการเร่งรัดให้มีอาสาสมัครเสื้อน้ำเงินมากๆ
ระยะหลัง มีกระแส เร่งรัดให้
มีสมาชิกประเภท เสื้อน้ำเงินมากๆ
มีกรรมการมากๆ
ตามความเห็นของข้าพเจ้าแล้ว
ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่ถูกต้อง
เหมือนกับ กดดันให้ "บวชพระ" โดยที่ใจยังไม่พร้อม
พระหลายท่าน เกิดภาวะ "ผ้าเหลืองร้อน" ต้องสึก
สังคมไทย เวลาบวชพระ จะมีงานใหญ่โต
แต่ตอนสึก ก็สึกเงียบๆ
การเร่งรัด เป็นเรื่องผิดธรรมชาติ
อาจผลสะท้อนกลับในทางลบได้
อาสาสมัครฉือจี้ ที่เป็นกรรรมการแล้ว
แต่ภายหลังก็ ปฏิเสธ แนวทางการทำงาน
ก็ยุติ ชีวิตแบบ อาสาสมัครฉือจี้ ไปอย่างเงียบๆ
ก็มี
ผลที่เกิดง่ายๆ คือมีแต่ จำนวนมาก แต่ไม่มีคุณภาพ
อยากเป็นกรรมการฉือจี้
แต่ยังไม่เข้าใจ ว่ากรรมการคืออะไร
ยังไม่รู้จักแก่นธรรรม และยอมรับแก่นธรรม เลย
ก่อนที่ ข้าพเจ้า จะมาเป็น ชาวฉือจี้
เห็นคนแต่ง เครื่องแบบ เสื้อเทา
ก็รู้สึกดี น่าภาคภูมิใจ
ถ้าเราได้แต่ง ก็ภูมิใจที่เขายอมรับเราเป็นอาสาสมัครฉือจี้ เสื้อเทา คนหนึ่ง
ไม่เคยคิดว่า ต่อไปจะได้เป็น กรรมการฉือจี้เสื้อน้ำเงินแต่อย่างใด
แต่งชุดเสื้อเทา แล้วจึงไปดูงานที่ไต้หวัน
ในฐานะ อาสาสมัครฉือจี้ ไม่ใช่ผู้ไปดูงาน
(แต่ร่วมคณะไป เมื่อ พย.2551)
ตอนข้าพเจ้าได้ใส่เสื้อน้ำเงิน
เขาก็เอาเสื้อมาให้ใส่
ก็ถามเขา(อาสาสมัครที่เป็นกรรมการ)ว่า ผมใส่ได้หรือ
เขาว่า ผมใส่ได้แล้ว
ตอนที่รับเสื้อมา ก็งงๆ เขาบอกว่าให้ใส่ได้เลย
เหตุผลว่า
เมื่อไร จึงใส่ได้ ไม่ได้ อย่างไร
ตอนนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจ
ถึงวันนี้ ข้าพเจ้า คิดว่าควร ต้องเกิดความเข้าใจก่อน
อย่างไรก็ดี อาสาสมัครฉือจี้ อาวุโส
ก็คงเห็นว่า ให้ลงมือทำก่อน
จนซาบซึ้ง แล้วจะเข้าใจเอง
พอเป็นกรรมการแล้วก็จะรู้เอง
มัวแต่ถาม ทำไม ๆ ๆ ก็จะไม่ได้อะไร
เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ เสียเวลา ก็เป็นไปได้
พระเวลาจะบวช ต้องผ่านการบวชเณรก่อน
เรียกว่า บรรพชา
แล้วจึงบวชพระ เรียกว่า อุปสมบท
จะมีพิธี ที่เรียกว่า ขานนาค
ในพระอุโบสถ ต้องมีการ ฝึกเรียนก่อน
เป็นภาษาบาลี จนคล่องแล้ว
อุปัชฌาจารย์ จึงอนุญาติให้บวชได้
ในพิธีจะมี คณะสงฆ์ มีองค์ประกอบต่างๆ
ครบตามพระธรรมวินัย
ถ้าไม่ครบก็ อาจกลายเป็นโมฆะ สูญเปล่าไป
ไม่ได้เป็นพระภิกษุ ตามธรรมวินัยโดยสมบูรณ์
แม้จะบวชมานาน กี่สิบ กี่ร้อยปี
ก็ยังไม่ถือว่าเป็นพระ
บางคนจำต้องมาทำพิธีใหม่
จากนั้นจึงนับพรรษา 1 ใหม่
เป็นอะไรที่ ทำเล่นๆไม่ได้
นั่นเป็นแค่พิธีการ
แต่ก็ งั้นแหละ
อาจบวช ไม่กี่วันก็สึก
เช่นเดียวกับ
คู่สมรส ที่จัดงานแต่งงาน มโหฬาร ตระการตา
เชิญแขกเหรื่อมา 1000 กว่าโต๊ะเป็นสักขีพยาน
หมดค่างาน ค่าสินสอดทองหมั้น 100 กว่าล้านบาท
อยู่กันไม่ถึงเดือน หย่า
ที่สำคัญคือที่ใจ
และการพัฒนา ตามธรรมชาติ ของแต่ละคน
ย้ำ
แต่ละคน (Individual)
ดูประวัติ พระสาวก ของพระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาลแล้ว
ก็ต่างๆกันมาก
ดังนั้น
ต้องเข้าใจ
Individual ให้มากๆ
ต้องละเอียด ลึกซึ้ง ให้มากๆ
ข้าพเจ้าเห็นว่า
วิถีชีวิตแต่ละคน
ที่จะมาเป็นชาวฉือจี้
ต้องแล้วแต่วาสนา จริงๆ
๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๔
เป็นข่าวกิจกรรมของกลุ่ม อาสาสมัครฉือจี้ เขตราชบุรี บันทึกความก้าวหน้า สื่อสาร เผยแพร่ ข่าวสารให้ผู้ที่สนใจ กิจกรรมจิตอาสาแนวพุทธฉือจี้ ทราบและมาร่วมงานกัน
วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554
การอบรมอาสาสมัครฉือจี้ แนวใหม่ ครั้งที่ 1
เมื่อวันที่ 17-18 กันยายน พ.ศ.2554
ฮู่อ้ายราชบุรี ได้ลงมือปฏิบัติ
อบรม อาสาสมัคร แนวพุทธฉือจี้ แบบใหม่ ครั้งที่ 1
ความเป็นมา
จากการประเมินผล การอบรม 5 รุ่นที่ผ่านมา
แม้ว่าจะได้ผลระดับหนึ่ง แต่ก็ยังมีปัญหาหลายประการ ได้แก่
1.ใช้งบประมาณมาก เฉลี่ยแล้ว 4-5,000 บาทต่อคน
(ไม่ได้นับค่าใช้จ่ายของวิทยากร จากมูลนิธิฉือจี้)
2.การรับสมัครคนมาเข้าอบรม ยังไม่มีระบบรับที่ดี
3.การนำพาอาสาสมัครใหม่รุ่นหลังๆ ออกทำงานช่วยเหลือคนไม่เป็นระบบ
โดยมากมัก ขาดการติดตาม
4.ใช้ ทรัพยากร บุคคลมาก เหนื่อย ปีหนึ่งทำได้ครั้งเดียว
5.หลักสูตร และทีมวิทยากร ยังไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงตลอด
6.การประชาสัมพันธ์ไม่เป็นระบบ
7.การต้องค้างคืน 3 คืนต่อรุ่น เป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก
ถ้าผลผลิต ออกมาทำงานเป็นอาสาสมัครน้อยมาก ก็ถือว่าไม่คุ้มค่า
แนวทางการจัดการรุ่นที่ 6 จึงเป็นการทดลองจัดในแนวใหม่ ดังนี้
1.ให้ อาสาสมัครที่เข้าอบรม ไปกลับ ทุกวัน ไม่ต้องพักค้างคืน
ผู้จัดไม่ต้องรับผิดชอบ ค่าที่พัก (ประหยัดไปมหาศาล)
2.จำนวนวันมากขึ้น แต่ไม่ได้อบรมติดต่อกัน เว้นระยะห่างกัน 1-2 เดือนมา 1 ครั้ง
จำนวนวันเพิ่มเป็น 6 วัน แต่ทำให้หลายท่านที่ไม่สามารถ มาติดต่อกันได้ ไม่สามารถค้างคืนได้ ก็มาได้
3.แม้บางวันไม่ว่างมา ก็สามารถมา "เก็บ" จำนวนวันในภายหลังจนครบ 6 วันได้ เมื่อครบแล้วจึงสามารถ
เข้าพิธีรับเกียรติบัตร และพิธีรับ ซันเป่า เสื้อสีเทา("บาตรและจีวร") จาก ผู้จัดงานได้ เช่นเดียวกับผู้ที่มาครบ
4.การที่ต้องมาถึง 6 ครั้ง 6 วัน ก็เป็นการทดสอบจิตใจของ อาสาสมัครผู้เข้าอบรมว่า
มีใจในการเป็น อาสาสมัคร มากน้อยแค่ไหน
ถ้ามาวันแรกแล้ว วันหลังไม่มาเลย ก็เป็นสิ่งที่ ควรเป็นไปอยู่แล้ว
ไม่ต้องฝืนใจอยู่จนครบเหมือนการอบรมแบบเก่า
5.ไม่มีการแจกชุดเสื้อเทา ตั้งแต่วันแรกแบบการอบรมแบบเดิม จะให้ในวันสุดท้ายเท่านั้น
ทำให้ประหยัดไปส่วนหนึ่ง ที่สำคัญคือ เกิด ความหมายของ ชุดเสื้อเทา ว่าเป็นชุดที่ "ศักดิ์สิทธิ์"
มีความหมายที่ลึกซึ้งต่อเหล่าบรรดาอาสาสมัคร
6.ระบบพี่เลี้ยง แม่ไก่ลูกไก่ ได้รับการพัฒนา ให้เป็นหัวใจของการคัดเลือกคน การติดตามหลังการอบรม
ผู้เข้ารับการอบรม จะต้องผ่าน การแนะนำจากแม่ไก่ก่อน จึงจะมาเข้าอบรมได้
7.จำนวนผู้เข้าการอบรม ไม่มีการกะเกณฑ์ว่าต้องมี เท่าโน้น เท่านี้ แบบเดิม
เมื่อแม่ไก่ จะรายงานมายังผู้จัดว่า ใครมีกี่คน รวมแล้ว 30-40 คน
ก็สามารถจัดการอบรมได้ทันที
8.การติดตาม ให้ลูกไก่มาอบรมจนครบ ก็เป็นหน้าที่ของพี่เลี้ยง ที่ต้องดูแลลูกไก่ตนเอง
9.เกิดการสร้างทีมวิทยากรใหม่ๆ และเกิดเครือข่ายใหม่ๆ ที่เข้มแข็งขึ้น พึ่งพา
อาสาสมัครฉือจี้จากไต้หวันลดลง ชาวราชบุรีทำเองมากขึ้น นานๆเข้าก็สามารถทำเองได้ในที่สุด
10.ใช้งบประมาณน้อยลงมาก กว่าเดิม เหลือประมาณ ราว 2-3,000 บาทต่ออาสาสมัคร 1 คน
11.สามารถพัฒนาต่อยอด เป็นการจัดระบบการรับบริจาค เพื่อการพัฒนาอาสาสมัครฉือจี้ใหม่ขึ้น ให้เป็นการ ดำเนินงานด้วยตนเอง
ไม่ต้องพึ่งพา ระบบราชการ คล้ายๆยุวพุทธจัดการ อบรม หลักสูตรคุณแม่สิริ
ฮู่อ้ายราชบุรี ได้ลงมือปฏิบัติ
อบรม อาสาสมัคร แนวพุทธฉือจี้ แบบใหม่ ครั้งที่ 1
ความเป็นมา
จากการประเมินผล การอบรม 5 รุ่นที่ผ่านมา
แม้ว่าจะได้ผลระดับหนึ่ง แต่ก็ยังมีปัญหาหลายประการ ได้แก่
1.ใช้งบประมาณมาก เฉลี่ยแล้ว 4-5,000 บาทต่อคน
(ไม่ได้นับค่าใช้จ่ายของวิทยากร จากมูลนิธิฉือจี้)
2.การรับสมัครคนมาเข้าอบรม ยังไม่มีระบบรับที่ดี
3.การนำพาอาสาสมัครใหม่รุ่นหลังๆ ออกทำงานช่วยเหลือคนไม่เป็นระบบ
โดยมากมัก ขาดการติดตาม
4.ใช้ ทรัพยากร บุคคลมาก เหนื่อย ปีหนึ่งทำได้ครั้งเดียว
5.หลักสูตร และทีมวิทยากร ยังไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงตลอด
6.การประชาสัมพันธ์ไม่เป็นระบบ
7.การต้องค้างคืน 3 คืนต่อรุ่น เป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก
ถ้าผลผลิต ออกมาทำงานเป็นอาสาสมัครน้อยมาก ก็ถือว่าไม่คุ้มค่า
แนวทางการจัดการรุ่นที่ 6 จึงเป็นการทดลองจัดในแนวใหม่ ดังนี้
1.ให้ อาสาสมัครที่เข้าอบรม ไปกลับ ทุกวัน ไม่ต้องพักค้างคืน
ผู้จัดไม่ต้องรับผิดชอบ ค่าที่พัก (ประหยัดไปมหาศาล)
2.จำนวนวันมากขึ้น แต่ไม่ได้อบรมติดต่อกัน เว้นระยะห่างกัน 1-2 เดือนมา 1 ครั้ง
จำนวนวันเพิ่มเป็น 6 วัน แต่ทำให้หลายท่านที่ไม่สามารถ มาติดต่อกันได้ ไม่สามารถค้างคืนได้ ก็มาได้
3.แม้บางวันไม่ว่างมา ก็สามารถมา "เก็บ" จำนวนวันในภายหลังจนครบ 6 วันได้ เมื่อครบแล้วจึงสามารถ
เข้าพิธีรับเกียรติบัตร และพิธีรับ ซันเป่า เสื้อสีเทา("บาตรและจีวร") จาก ผู้จัดงานได้ เช่นเดียวกับผู้ที่มาครบ
4.การที่ต้องมาถึง 6 ครั้ง 6 วัน ก็เป็นการทดสอบจิตใจของ อาสาสมัครผู้เข้าอบรมว่า
มีใจในการเป็น อาสาสมัคร มากน้อยแค่ไหน
ถ้ามาวันแรกแล้ว วันหลังไม่มาเลย ก็เป็นสิ่งที่ ควรเป็นไปอยู่แล้ว
ไม่ต้องฝืนใจอยู่จนครบเหมือนการอบรมแบบเก่า
5.ไม่มีการแจกชุดเสื้อเทา ตั้งแต่วันแรกแบบการอบรมแบบเดิม จะให้ในวันสุดท้ายเท่านั้น
ทำให้ประหยัดไปส่วนหนึ่ง ที่สำคัญคือ เกิด ความหมายของ ชุดเสื้อเทา ว่าเป็นชุดที่ "ศักดิ์สิทธิ์"
มีความหมายที่ลึกซึ้งต่อเหล่าบรรดาอาสาสมัคร
6.ระบบพี่เลี้ยง แม่ไก่ลูกไก่ ได้รับการพัฒนา ให้เป็นหัวใจของการคัดเลือกคน การติดตามหลังการอบรม
ผู้เข้ารับการอบรม จะต้องผ่าน การแนะนำจากแม่ไก่ก่อน จึงจะมาเข้าอบรมได้
7.จำนวนผู้เข้าการอบรม ไม่มีการกะเกณฑ์ว่าต้องมี เท่าโน้น เท่านี้ แบบเดิม
เมื่อแม่ไก่ จะรายงานมายังผู้จัดว่า ใครมีกี่คน รวมแล้ว 30-40 คน
ก็สามารถจัดการอบรมได้ทันที
8.การติดตาม ให้ลูกไก่มาอบรมจนครบ ก็เป็นหน้าที่ของพี่เลี้ยง ที่ต้องดูแลลูกไก่ตนเอง
9.เกิดการสร้างทีมวิทยากรใหม่ๆ และเกิดเครือข่ายใหม่ๆ ที่เข้มแข็งขึ้น พึ่งพา
อาสาสมัครฉือจี้จากไต้หวันลดลง ชาวราชบุรีทำเองมากขึ้น นานๆเข้าก็สามารถทำเองได้ในที่สุด
10.ใช้งบประมาณน้อยลงมาก กว่าเดิม เหลือประมาณ ราว 2-3,000 บาทต่ออาสาสมัคร 1 คน
11.สามารถพัฒนาต่อยอด เป็นการจัดระบบการรับบริจาค เพื่อการพัฒนาอาสาสมัครฉือจี้ใหม่ขึ้น ให้เป็นการ ดำเนินงานด้วยตนเอง
ไม่ต้องพึ่งพา ระบบราชการ คล้ายๆยุวพุทธจัดการ อบรม หลักสูตรคุณแม่สิริ
อาสาสมัคร ชุดสีเทา กางเกงขาว
อาสาสมัครฉือจี้ ชุดสีเทา กางเกงขาว รองเท้าขาว
เป็นเครื่องแบบ อาสาสมัครฉือจี้ ที่แสดงถึงว่า
เป็นผู้ที่ กำลัง บ่ม เพาะ คุณธรรม ในจิตใจตนเอน
ให้มี ธรรม (เหรินหวุน)
ให้เกิดขึ้นในใจ จนเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา
เช่น จากเดิม เป็นคนที่ชอบสูบบุหรี่ เคี้ยวหมาก ประจำ
(จริงๆแล้ว การติดใน เครื่องดื่ม บางประเภท เช่นยาชูกำลัง น้ำอัดลม ก็อนุโลมเข้าข้อนี้ได้)
ก็มา ฝึกฝน บ่มเพาะ ให้เลิก ละ มัน โดยมา ทำงานช่วยสังคม
ระหว่างนี้ ก็จะไม่มีการสูบในเครื่องแบบ เป็นอันขาด
(ถ้าอยากมาก จนทนไม่ไหว ก็ถอดเครื่องแบบออกไปสูบ)
นานๆเข้าก็ชิน ใส่เครื่องแบบ หรือไม่ใส่ ก็ไม่สูบ เป็นต้น
ระหว่างที่บ่มเพาะ นอกจากเรื่องศีล 10 ข้อแล้ว
ก็ต้องเรียนรู้ คุณธรรมพื้นฐานของชาวฉือจี้
ได้แก่
การสำนึกคุณ (กั่งเอิ๊น)
เมื่อมีการสำนึกคุณ
ก็จะมี จุ้นจ้ง(เคารพ ให้เกียรติผู้อื่น)
เกิด กตัญญู
เมื่อมีจุ้นจ้ง เราก็กลายเป็นคนที่อ่อนน้อม ถ่อมตนโดยอัตโนมัต
ตัวตน ลดลง โดยลำดับ
การฝึกช่วยเหลือคน
ไม่เลือกว่าเป็น คนชาติใด ภาษาใด นับถือศาสนาอะไร อยู่ที่ไหน
และโดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทนใดๆ
ทำให้เกิดความรัก
เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่(ต้าอ้าย) หรือ มหาเมตตา
เพราะเห็น ความจริงของสรรพชีวิต
ที่ต้องทนทุกข์อยู่ในโลก
ทำให้มีการดำรงชีวิต
อย่างซื่อสัตย์ สมถะ
เมตตาต่อตนเอง
เมตตาผู้อื่น
การใช้ชีวิต อย่างสมถะ เรียบง่าย
เพื่อให้มีเงินเหลือไปช่วยคนอื่น
เป็นการสะสมบุญให้กับตนเอง ให้ครอบครัว ให้สังคม และให้ประเทศชาติ
ธรรมต่างๆก็ ไหลตามมาโดยลำดับ
ธรรมเหล่านี้ สัมผัสได้ เวลาที่มันบังเกิดขึ้นในจิตใจ
ธรรมเหล่านี้จะเกิดไม่ได้ ถ้าไม่ออกปฏิบัติ ลงมือช่วยเหลือคน จริงจัง
เมื่อไม่บังเกิด จิต ก็ไม่รู้จักธรรมเหล่านี้
เมื่อจิตไม่ได้สัมผัสธรรมเหล่านี้ จิตก็ไม่ซาบซึ้ง
เมื่อจิตไม่ซาบซึ้ง ก็จะ ไม่สามารถสัมผัสกับ กระแสจิตของ
เหล่า อาสาสมัคร ชายหญิง รุ่น อาวุโสได้
และก็ไม่สามารถสัมผัส
กระแสจิตท่านธรรมมาจารย์ได้
เมื่อความซาบซึ้งไม่มี การปฏิบัติธรรม ก็มักท้อถอย
ไม่อยากทำ ทำไปทำไม เสียเวลา
อาสาสมัคร ท่านหนึ่ง ท่านใส่เสื้อสีเทา กางเกงขาว
มานานหลายปี เกิน เวลา 2 ปี ตามกติกาแล้ว
ท่านบอกว่า ท่านยังต้องบ่มเพาะอยู่
ใจท่านยังไม่มี เหรินหวุน มากพอที่ จะเป็น อาสาสมัคร เสื้อน้ำเงิน ได้
ขอฝึกต่ออีก
ท่านไม่เคย มาอ้อนวอนขอเป็นเสื้อน้ำเงิน
เพราะท่านเข้าใจแล้วว่า การเป็นเสื้อน้ำเงินหมายถึงอะไร
ขอบ่มเพาะต่อ จริงๆแล้ว ท่านทำงานหนักกว่าเสื้อน้ำเงินบางท่านอีก
เมื่อเทียบกับท่านแล้ว
ข้าพเจ้า รู้สึกอาย
เพราะข้าพเจ้าเป็นกรรมการแล้ว
ข้าพเจ้า ยังต้องเรียนจากท่าน อีกมากมาย
เมื่อ เดือน ธันวาคม 2553
ข้าพเจ้าไป "รับกรรมการ" (=โซ่วเจิ้ง หรือ Certification ceremony)
ข้าพเจ้าเห็น คนที่ไปรับ รับกรรมการ จำนวนมาก
ซาบซึ้งมาก ร้องไห้ ด้วยความปลื้มปิติ
ข้าพเจ้าเห็น แล้วก็ต้องร้องไห้ตาม
เส้นทางของ ชาวฉือจี้
มีความดี
มีความงาม
มีความจริง
มีความรัก
และ มีน้ำตา(จากความซาบซึ้ง)
(อันหลังข้าพเจ้าเพิ่มเอง)
ดูๆไปแล้ว การสวมเสื้อสีอะไร ก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไร
อยู่ที่ใจ การปฏิบัติตัวของเรา
ว่า ปฏิบัติ เหมือน คนสวมเสื้อสีอะไรมากกว่า
หรือ ปฏิบัติเหมือนคนที่ไม่ใช่ชาวฉือจี้เลย
ฆารวาสบางคน ใจท่านเป็น "พระใน เครื่องแบบ ฆารวาส"
และพระบางท่าน ใจท่านเป็น "ฆารวาส ในเครื่องแบบพระ"
พอนานๆเข้า สวมเสื้อสีอะไร ใส่เครื่องแบบอะไร
ชุดฉือจี้ หรือไม่ใช่ (สวมเครื่องแบบ อุบาสก หรือพระ หรือไม่ได้สวม)
เมื่อใจเราก็มี เหรินหวุน จนเป็นปกติ เป็นธรรมดาแล้ว
ถึงจะถือว่าสุดยอดของการปฏิบัติธรรม
เป็นเครื่องแบบ อาสาสมัครฉือจี้ ที่แสดงถึงว่า
เป็นผู้ที่ กำลัง บ่ม เพาะ คุณธรรม ในจิตใจตนเอน
ให้มี ธรรม (เหรินหวุน)
ให้เกิดขึ้นในใจ จนเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา
เช่น จากเดิม เป็นคนที่ชอบสูบบุหรี่ เคี้ยวหมาก ประจำ
(จริงๆแล้ว การติดใน เครื่องดื่ม บางประเภท เช่นยาชูกำลัง น้ำอัดลม ก็อนุโลมเข้าข้อนี้ได้)
ก็มา ฝึกฝน บ่มเพาะ ให้เลิก ละ มัน โดยมา ทำงานช่วยสังคม
ระหว่างนี้ ก็จะไม่มีการสูบในเครื่องแบบ เป็นอันขาด
(ถ้าอยากมาก จนทนไม่ไหว ก็ถอดเครื่องแบบออกไปสูบ)
นานๆเข้าก็ชิน ใส่เครื่องแบบ หรือไม่ใส่ ก็ไม่สูบ เป็นต้น
ระหว่างที่บ่มเพาะ นอกจากเรื่องศีล 10 ข้อแล้ว
ก็ต้องเรียนรู้ คุณธรรมพื้นฐานของชาวฉือจี้
ได้แก่
การสำนึกคุณ (กั่งเอิ๊น)
เมื่อมีการสำนึกคุณ
ก็จะมี จุ้นจ้ง(เคารพ ให้เกียรติผู้อื่น)
เกิด กตัญญู
เมื่อมีจุ้นจ้ง เราก็กลายเป็นคนที่อ่อนน้อม ถ่อมตนโดยอัตโนมัต
ตัวตน ลดลง โดยลำดับ
การฝึกช่วยเหลือคน
ไม่เลือกว่าเป็น คนชาติใด ภาษาใด นับถือศาสนาอะไร อยู่ที่ไหน
และโดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทนใดๆ
ทำให้เกิดความรัก
เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่(ต้าอ้าย) หรือ มหาเมตตา
เพราะเห็น ความจริงของสรรพชีวิต
ที่ต้องทนทุกข์อยู่ในโลก
ทำให้มีการดำรงชีวิต
อย่างซื่อสัตย์ สมถะ
เมตตาต่อตนเอง
เมตตาผู้อื่น
การใช้ชีวิต อย่างสมถะ เรียบง่าย
เพื่อให้มีเงินเหลือไปช่วยคนอื่น
เป็นการสะสมบุญให้กับตนเอง ให้ครอบครัว ให้สังคม และให้ประเทศชาติ
ธรรมต่างๆก็ ไหลตามมาโดยลำดับ
ธรรมเหล่านี้ สัมผัสได้ เวลาที่มันบังเกิดขึ้นในจิตใจ
ธรรมเหล่านี้จะเกิดไม่ได้ ถ้าไม่ออกปฏิบัติ ลงมือช่วยเหลือคน จริงจัง
เมื่อไม่บังเกิด จิต ก็ไม่รู้จักธรรมเหล่านี้
เมื่อจิตไม่ได้สัมผัสธรรมเหล่านี้ จิตก็ไม่ซาบซึ้ง
เมื่อจิตไม่ซาบซึ้ง ก็จะ ไม่สามารถสัมผัสกับ กระแสจิตของ
เหล่า อาสาสมัคร ชายหญิง รุ่น อาวุโสได้
และก็ไม่สามารถสัมผัส
กระแสจิตท่านธรรมมาจารย์ได้
เมื่อความซาบซึ้งไม่มี การปฏิบัติธรรม ก็มักท้อถอย
ไม่อยากทำ ทำไปทำไม เสียเวลา
อาสาสมัคร ท่านหนึ่ง ท่านใส่เสื้อสีเทา กางเกงขาว
มานานหลายปี เกิน เวลา 2 ปี ตามกติกาแล้ว
ท่านบอกว่า ท่านยังต้องบ่มเพาะอยู่
ใจท่านยังไม่มี เหรินหวุน มากพอที่ จะเป็น อาสาสมัคร เสื้อน้ำเงิน ได้
ขอฝึกต่ออีก
ท่านไม่เคย มาอ้อนวอนขอเป็นเสื้อน้ำเงิน
เพราะท่านเข้าใจแล้วว่า การเป็นเสื้อน้ำเงินหมายถึงอะไร
ขอบ่มเพาะต่อ จริงๆแล้ว ท่านทำงานหนักกว่าเสื้อน้ำเงินบางท่านอีก
เมื่อเทียบกับท่านแล้ว
ข้าพเจ้า รู้สึกอาย
เพราะข้าพเจ้าเป็นกรรมการแล้ว
ข้าพเจ้า ยังต้องเรียนจากท่าน อีกมากมาย
เมื่อ เดือน ธันวาคม 2553
ข้าพเจ้าไป "รับกรรมการ" (=โซ่วเจิ้ง หรือ Certification ceremony)
ข้าพเจ้าเห็น คนที่ไปรับ รับกรรมการ จำนวนมาก
ซาบซึ้งมาก ร้องไห้ ด้วยความปลื้มปิติ
ข้าพเจ้าเห็น แล้วก็ต้องร้องไห้ตาม
เส้นทางของ ชาวฉือจี้
มีความดี
มีความงาม
มีความจริง
มีความรัก
และ มีน้ำตา(จากความซาบซึ้ง)
(อันหลังข้าพเจ้าเพิ่มเอง)
ดูๆไปแล้ว การสวมเสื้อสีอะไร ก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไร
อยู่ที่ใจ การปฏิบัติตัวของเรา
ว่า ปฏิบัติ เหมือน คนสวมเสื้อสีอะไรมากกว่า
หรือ ปฏิบัติเหมือนคนที่ไม่ใช่ชาวฉือจี้เลย
ฆารวาสบางคน ใจท่านเป็น "พระใน เครื่องแบบ ฆารวาส"
และพระบางท่าน ใจท่านเป็น "ฆารวาส ในเครื่องแบบพระ"
พอนานๆเข้า สวมเสื้อสีอะไร ใส่เครื่องแบบอะไร
ชุดฉือจี้ หรือไม่ใช่ (สวมเครื่องแบบ อุบาสก หรือพระ หรือไม่ได้สวม)
เมื่อใจเราก็มี เหรินหวุน จนเป็นปกติ เป็นธรรมดาแล้ว
ถึงจะถือว่าสุดยอดของการปฏิบัติธรรม
วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554
ข้อคิดเรื่อง"ผู้หญิงกับพุทธฉือจี้"
สังคมจีน ในอดีต จะชอบมีลูกชายมาก การมีลูกผู้หญิง
บางครั้งก็ทำให้พ่อแม่ไม่ชอบ
เด็กหญิงอาจถึงตายตอนเกิดใหม่ๆได้ง่าย
พ่อแม่จะเลี้ยงลูกชายดีกว่าลูกหญิง
สังคมอินเดียก็แบบเดียวกัน อาจรุนแรงกว่า
เพราะเดี๋ยวนี้มี เครื่องอัลตร้าซาวด์ พอดูเพศรู้ว่าเป็นหญิงก็ทำแท้งกันมากมาย
จนรัฐสภาอินเดีย ออกกฎหมายว่า
หมอห้ามดูเพศเด็กในครรภ์ เห็นแล้วก็ห้ามบอกพ่อแม่
ถ้าละเมิดก็ติดคุกสถานเดียว
มีคดีตัวอย่างหมอติดคุกเรื่องนี้มาแล้ว
จุดเริ่มต้นของมูลนิธิพุทธฉือจี้ มาจากผู้หญิงท่านหนึ่งที่ไต้หวัน
คือท่านธรรมมาจารย์เจิ้นเอี๋ยน
ท่านหาเลี้ยงชีพเองไม่บิณฑบาตร
เก็บหอมออมริบ
เริ่มจากท่านพาลูกศิษย์ที่เป็นแม่บ้าน 30 คน
ออกช่วยเหลือคน โดนเอาเงินจากการลดค่าอาหารทุกวัน
วันละ 1-2 เหรียญ
รวบรวมกันมาช่วยคนที่ยากไร้
ท่านเก็บภาพกิจกรรม เป็นหลักฐานไว้หมด
เมื่อข่าวนี้รู้กระจายไป
เป็นอะไรที่สะเทือนใจคนทั้งเกาะไต้หวัน
และสะเทือนมาถึงเมืองไทย
ผู้หญิง ตัวเล็กๆ ทำงานช่วยเหลือคนขนาดนี้
ใครเห็น ใครก็ต้องหลั่งน้ำตา
ถ้าไม่สามารถไปช่วยด้วยตนเอง ก็บริจาคเงินช่วย
กิจการของท่านขยายตัวจนเป็นมูลนิธิใหญ่โต
มีสมาชิกกว่า 6 ล้านคน
และอาสาสมัครหลายหมื่นคนกระจาย 60 กว่าประเทศทั่วโลก ภายในเวลา 40 กว่าปี
ท่านทำมา 10 กว่า ปี จึงค่อยรับผู้ชายมาทำงานเป็นอาสาสมัครด้วย
ทำไมผู้ชายจึงมาทำความดีทีหลัง
ตามความเข้าใจของข้าพเจ้า
ผู้ชายจีนถือว่าตนเองเป็นผู้นำ
การมายอมรับ การนำของผู้หญิงก็ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย
ตอนนี้ก็ยอมรับแล้ว
จึงมีผู้ชายมาช่วยงานฉือจี้ มากขึ้น
แต่ก็ยังน้อยกว่าผู้หญิงมาก
การนำ การคุมกำกับหน่วยงานสำคัญๆ ในมูลนิธิ
เป็นของผู้หญิงโดยสิ้นเชิง
ทั้งที่ไต้หวันและเมืองไทย
ตอนออกหน้าก็ให้ผู้ชายออกหน้า
ให้เกียรติหน่อย
จำนวนคน การขับเคลื่อนเป็นของผู้หญิงทั้งนั้น
อุบาสก อุบาสิกา ที่ไปวัดในเมืองไทย
ข้าพเจ้า ดูๆ ก็เป็นเพศหญิง กว่า 80%
กิจกรรม วัฒนธรรมองค์กร
โดยมากก็จะ ละเอียด อ่อนช้อย
มีชงน้ำชา ปักดอกไม้ รำภาษามือ
ฯลฯ
ถูกจริตผู้หญิงมาก
ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรเลยที่
มีผู้หญิงมาเข้าร่วมกิจกรรม อาสาสมัครฉือจี้มากมาย
ทั้งไต้หวัน เมืองไทย
เช่นเดียวกันกับที่โพธาราม
บางครั้งก็ทำให้พ่อแม่ไม่ชอบ
เด็กหญิงอาจถึงตายตอนเกิดใหม่ๆได้ง่าย
พ่อแม่จะเลี้ยงลูกชายดีกว่าลูกหญิง
สังคมอินเดียก็แบบเดียวกัน อาจรุนแรงกว่า
เพราะเดี๋ยวนี้มี เครื่องอัลตร้าซาวด์ พอดูเพศรู้ว่าเป็นหญิงก็ทำแท้งกันมากมาย
จนรัฐสภาอินเดีย ออกกฎหมายว่า
หมอห้ามดูเพศเด็กในครรภ์ เห็นแล้วก็ห้ามบอกพ่อแม่
ถ้าละเมิดก็ติดคุกสถานเดียว
มีคดีตัวอย่างหมอติดคุกเรื่องนี้มาแล้ว
จุดเริ่มต้นของมูลนิธิพุทธฉือจี้ มาจากผู้หญิงท่านหนึ่งที่ไต้หวัน
คือท่านธรรมมาจารย์เจิ้นเอี๋ยน
ท่านหาเลี้ยงชีพเองไม่บิณฑบาตร
เก็บหอมออมริบ
เริ่มจากท่านพาลูกศิษย์ที่เป็นแม่บ้าน 30 คน
ออกช่วยเหลือคน โดนเอาเงินจากการลดค่าอาหารทุกวัน
วันละ 1-2 เหรียญ
รวบรวมกันมาช่วยคนที่ยากไร้
ท่านเก็บภาพกิจกรรม เป็นหลักฐานไว้หมด
เมื่อข่าวนี้รู้กระจายไป
เป็นอะไรที่สะเทือนใจคนทั้งเกาะไต้หวัน
และสะเทือนมาถึงเมืองไทย
ผู้หญิง ตัวเล็กๆ ทำงานช่วยเหลือคนขนาดนี้
ใครเห็น ใครก็ต้องหลั่งน้ำตา
ถ้าไม่สามารถไปช่วยด้วยตนเอง ก็บริจาคเงินช่วย
กิจการของท่านขยายตัวจนเป็นมูลนิธิใหญ่โต
มีสมาชิกกว่า 6 ล้านคน
และอาสาสมัครหลายหมื่นคนกระจาย 60 กว่าประเทศทั่วโลก ภายในเวลา 40 กว่าปี
ท่านทำมา 10 กว่า ปี จึงค่อยรับผู้ชายมาทำงานเป็นอาสาสมัครด้วย
ทำไมผู้ชายจึงมาทำความดีทีหลัง
ตามความเข้าใจของข้าพเจ้า
ผู้ชายจีนถือว่าตนเองเป็นผู้นำ
การมายอมรับ การนำของผู้หญิงก็ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย
ตอนนี้ก็ยอมรับแล้ว
จึงมีผู้ชายมาช่วยงานฉือจี้ มากขึ้น
แต่ก็ยังน้อยกว่าผู้หญิงมาก
การนำ การคุมกำกับหน่วยงานสำคัญๆ ในมูลนิธิ
เป็นของผู้หญิงโดยสิ้นเชิง
ทั้งที่ไต้หวันและเมืองไทย
ตอนออกหน้าก็ให้ผู้ชายออกหน้า
ให้เกียรติหน่อย
จำนวนคน การขับเคลื่อนเป็นของผู้หญิงทั้งนั้น
อุบาสก อุบาสิกา ที่ไปวัดในเมืองไทย
ข้าพเจ้า ดูๆ ก็เป็นเพศหญิง กว่า 80%
กิจกรรม วัฒนธรรมองค์กร
โดยมากก็จะ ละเอียด อ่อนช้อย
มีชงน้ำชา ปักดอกไม้ รำภาษามือ
ฯลฯ
ถูกจริตผู้หญิงมาก
ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรเลยที่
มีผู้หญิงมาเข้าร่วมกิจกรรม อาสาสมัครฉือจี้มากมาย
ทั้งไต้หวัน เมืองไทย
เช่นเดียวกันกับที่โพธาราม
"เวลาทำงานจิตอาสา ทำไมต้องแต่งเครื่องแบบ อาสาสมัครฉือจี้ ไม่แต่งเครื่องแบบ เจ้าหน้าที่ รพ.โพธาราม?"
เป็นคำถามที่ ท่านอาจารย์จาก รพ.เด็ก
ถามข้าพเจ้า
ผมขออนุญาต แลกเปลี่ยน ข้อคิด ดังนี้
1.เวลาแต่งเครื่องแบบอะไร เมื่อปรากฎตัวต่อสาธารณชน
สาธารณชนก็ จะมีปฏิกิริยา เป็นชุดของ สิ่งที่เห็น
เช่น คน แต่งเครื่องแบบ พระสงฆ์ คนไทยเห็นส่วนใหญ่ ก็ให้ความเคารพ หลีกทางให้ ใจก็รู้สึก เคารพนับถือ ยกย่อง ใส่บาตร หรือบริจาคทาน
คนแต่งเครื่องแบบ ลูกเสือ เราก็มักให้เกียรติ เพราะลูกเสือมีเกียรติ เชื่อถือได้
คนแต่งเครื่องแบบตำรวจ หมอ ข้าราชการ ก็จะสะท้อนไปยัง จิตคนต่างๆกัน
เราเป็นเจ้าหน้าที่ รพ. ถ้า วันนี้พวกเราลาไปปฏิบัติธรรม อยู่วัด เราจะนุ่งขาวห่มขาวถือ จะถือศีล 8 ศีล 10 แล้วแต่ ใครที่เห็นภาพเรา ก็มองเราเป็นผู้มีศีล
ตัวเราเอง ก็ตั้งใจ ถือศีลปฏิบัติธรรมให้ใจบริสุทธิ คนที่รู้จักเรา ก็รู้อยู่แล้วว่าเราเป็น เจ้าหน้าที่ รพ.โพธาราม (หรือรพ.เด็ก) เขาชื่นชมเราที่เป็นเจ้าหน้าที่ รพ.(โพธาราม หรือ เด็ก) มาปฏิบัติธรรม
2.เวลาเรา แต่งเครื่องแบบ อส.ฉือจี้ กางเกงขาว รองเท้าขาว เสื้อน้ำเงิน เทียบได้กับ เราเข้าวัดปฏิบัติธรรม ถือศีล 10 ข้อ ตอนไปรับบริจาคเงิน เขาก็ทราบว่าเราเป็นเจ้าหน้าที่และ อส.รพ.โพธาราม กำลังมาทำความดี ต่อผู้อื่น อส.ฉือจี้ เป็นอาสาสมัครที่มีลักษณะ ที่ต้อง ถือศีล มีกิริยามารยาทดี ซือสัตย์ มีสัจจะ สมถะ ไม่กินเนื้อสัตว์ ฯลฯ
ภาพพจน์ อันนี้เป็น จุดที่ คณะกลุ่ม เน้นมาก ถ้ามีใครแต่งเครื่องแบบแล้วทำไม่ดี 1 คน ก็เน่าไปทั้งข้อง เครื่องแบบฉือจี้ ค่อนข้าง "ศักดิ์สิทธิ" จะแต่งแล้วเข้า อาบอบนวด ไม่ได้ จะไป อโคจรไม่ได้ทำแบบ วินัยพระ
3.พวกเรา ที่แต่งเครื่องแบบมารับชาว รพ.เด็ก มารำภาษามือให้ท่านชม พวกเราถือว่าเรามาปฏิบัติธรรม มาสร้างความดี ความงาม ความจริง ให้กับ เพื่อนชาว รพ.เด็ก ที่ได้มาเยี่ยม อส.ที่โพธาราม จะไปรำในงานแต่งงาน งานมหรสพ ไม่ได้ แต่งแล้วต้อง คิดดี พูดดี ทำดี มีวินัย สำรวมกายวาจาใจ อ่อนน้อมถ่อมตน มีจิตอาสาให้บริการ (นานๆไป พวกเราก็จะกลายเป็นนิสัยปกติของเราเอง ใหม่ๆก็เคอะเขินมาก ทุกวันนี้ ข้าพเจ้าก็เปลี่ยนไปมาก เราต้องเป็นหนี้บุญคุณคนไข้ ไม่ใช่คนไข้มาติดหนี้บุญคุณเรา เพราะเขามาให้เรารักษา ทำให้เราได้บุญ) วันนี้เราก็ได้ ขัดเกลาจิตใจมากขึ้นอีก 1 หน่วย จากการให้บริการคนอื่นที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน
4.เครื่องแบบฉือจี้เป็นเครื่องแบบสากล คล้ายเครื่องแบบ จีวร ของพระสงฆ์ แต่พวกเราก็เป็นแค่อุบาสก อุบาสิกา การทำงาน ใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ ใช้ IT ครบถ้วน เพื่อการเผยแพร่ ความจริง ความดี ความงาม ของชาวฉือจี้ มีอส.ฉือจี้ กว่า 60 ประเทศ มีสมาชิกกว่า 6 ล้านคน ชาวพุทธ ชาวคริสต์ ชาวอิสลาม ก็เป็น อส.ฉือจี้ได้ ศีล 10 ข้อเป็นพื้นฐานของทุกศาสนาอยู่แล้ว
5.เวลาที่พวกเราแต่งเครื่องแบบฉือจี้ เป็นช่วงเวลาที่พวกเรามีความสุข Endorphin หลั่ง เป็นเวลาที่ พวกเรากำลังไปสร้างความดี ให้สังคม และผู้อื่น สร้างบุญบารมี ให้กับตนเอง เช่น พระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง เราเป็นแค่พระโพธิสัตว์น้อยๆองค์หนึ่ง ถ้าพวกเรา รวมตัวกัน 500 คน เราก็จะมีมือรวมกันถึง 1000 มือ อาจมีพลังทำงานได้เท่า เจ้าแม่กวนอิมที่มีมือ 1000 มือ 1 องค์ได้(เป็นการเปรียบเทียบให้กำลังใจอาสาสมัคร) ตามเพลงที่พวกเรา รำภาษามือให้ท่านอาจารย์ชมในวันนี้
ก็เป็นการแลกเปลี่ยน ข้อคิด กับท่านอาจารย์
คิดว่าคงมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย
ก็ขออภัย เวลาน้อย ไม่สามารถ คุยแลกเปลี่ยนให้จบที่ รพ.โพธารามได้
ยินดี และขอบคุณที่ คณะ อจ.มาเยี่ยมพวกเรา
ให้พวกเราได้แต่งเครื่องแบบ เพิ่มอีก 1 วัน
(ทำความดีอีก 1 วัน)
สำนึกคุณ
เคารพรััก
--
นพ.สมบูรณ์ นันทานิช
ถามข้าพเจ้า
ผมขออนุญาต แลกเปลี่ยน ข้อคิด ดังนี้
1.เวลาแต่งเครื่องแบบอะไร เมื่อปรากฎตัวต่อสาธารณชน
สาธารณชนก็ จะมีปฏิกิริยา เป็นชุดของ สิ่งที่เห็น
เช่น คน แต่งเครื่องแบบ พระสงฆ์ คนไทยเห็นส่วนใหญ่ ก็ให้ความเคารพ หลีกทางให้ ใจก็รู้สึก เคารพนับถือ ยกย่อง ใส่บาตร หรือบริจาคทาน
คนแต่งเครื่องแบบ ลูกเสือ เราก็มักให้เกียรติ เพราะลูกเสือมีเกียรติ เชื่อถือได้
คนแต่งเครื่องแบบตำรวจ หมอ ข้าราชการ ก็จะสะท้อนไปยัง จิตคนต่างๆกัน
เราเป็นเจ้าหน้าที่ รพ. ถ้า วันนี้พวกเราลาไปปฏิบัติธรรม อยู่วัด เราจะนุ่งขาวห่มขาวถือ จะถือศีล 8 ศีล 10 แล้วแต่ ใครที่เห็นภาพเรา ก็มองเราเป็นผู้มีศีล
ตัวเราเอง ก็ตั้งใจ ถือศีลปฏิบัติธรรมให้ใจบริสุทธิ คนที่รู้จักเรา ก็รู้อยู่แล้วว่าเราเป็น เจ้าหน้าที่ รพ.โพธาราม (หรือรพ.เด็ก) เขาชื่นชมเราที่เป็นเจ้าหน้าที่ รพ.(โพธาราม หรือ เด็ก) มาปฏิบัติธรรม
2.เวลาเรา แต่งเครื่องแบบ อส.ฉือจี้ กางเกงขาว รองเท้าขาว เสื้อน้ำเงิน เทียบได้กับ เราเข้าวัดปฏิบัติธรรม ถือศีล 10 ข้อ ตอนไปรับบริจาคเงิน เขาก็ทราบว่าเราเป็นเจ้าหน้าที่และ อส.รพ.โพธาราม กำลังมาทำความดี ต่อผู้อื่น อส.ฉือจี้ เป็นอาสาสมัครที่มีลักษณะ ที่ต้อง ถือศีล มีกิริยามารยาทดี ซือสัตย์ มีสัจจะ สมถะ ไม่กินเนื้อสัตว์ ฯลฯ
ภาพพจน์ อันนี้เป็น จุดที่ คณะกลุ่ม เน้นมาก ถ้ามีใครแต่งเครื่องแบบแล้วทำไม่ดี 1 คน ก็เน่าไปทั้งข้อง เครื่องแบบฉือจี้ ค่อนข้าง "ศักดิ์สิทธิ" จะแต่งแล้วเข้า อาบอบนวด ไม่ได้ จะไป อโคจรไม่ได้ทำแบบ วินัยพระ
3.พวกเรา ที่แต่งเครื่องแบบมารับชาว รพ.เด็ก มารำภาษามือให้ท่านชม พวกเราถือว่าเรามาปฏิบัติธรรม มาสร้างความดี ความงาม ความจริง ให้กับ เพื่อนชาว รพ.เด็ก ที่ได้มาเยี่ยม อส.ที่โพธาราม จะไปรำในงานแต่งงาน งานมหรสพ ไม่ได้ แต่งแล้วต้อง คิดดี พูดดี ทำดี มีวินัย สำรวมกายวาจาใจ อ่อนน้อมถ่อมตน มีจิตอาสาให้บริการ (นานๆไป พวกเราก็จะกลายเป็นนิสัยปกติของเราเอง ใหม่ๆก็เคอะเขินมาก ทุกวันนี้ ข้าพเจ้าก็เปลี่ยนไปมาก เราต้องเป็นหนี้บุญคุณคนไข้ ไม่ใช่คนไข้มาติดหนี้บุญคุณเรา เพราะเขามาให้เรารักษา ทำให้เราได้บุญ) วันนี้เราก็ได้ ขัดเกลาจิตใจมากขึ้นอีก 1 หน่วย จากการให้บริการคนอื่นที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน
4.เครื่องแบบฉือจี้เป็นเครื่องแบบสากล คล้ายเครื่องแบบ จีวร ของพระสงฆ์ แต่พวกเราก็เป็นแค่อุบาสก อุบาสิกา การทำงาน ใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ ใช้ IT ครบถ้วน เพื่อการเผยแพร่ ความจริง ความดี ความงาม ของชาวฉือจี้ มีอส.ฉือจี้ กว่า 60 ประเทศ มีสมาชิกกว่า 6 ล้านคน ชาวพุทธ ชาวคริสต์ ชาวอิสลาม ก็เป็น อส.ฉือจี้ได้ ศีล 10 ข้อเป็นพื้นฐานของทุกศาสนาอยู่แล้ว
5.เวลาที่พวกเราแต่งเครื่องแบบฉือจี้ เป็นช่วงเวลาที่พวกเรามีความสุข Endorphin หลั่ง เป็นเวลาที่ พวกเรากำลังไปสร้างความดี ให้สังคม และผู้อื่น สร้างบุญบารมี ให้กับตนเอง เช่น พระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง เราเป็นแค่พระโพธิสัตว์น้อยๆองค์หนึ่ง ถ้าพวกเรา รวมตัวกัน 500 คน เราก็จะมีมือรวมกันถึง 1000 มือ อาจมีพลังทำงานได้เท่า เจ้าแม่กวนอิมที่มีมือ 1000 มือ 1 องค์ได้(เป็นการเปรียบเทียบให้กำลังใจอาสาสมัคร) ตามเพลงที่พวกเรา รำภาษามือให้ท่านอาจารย์ชมในวันนี้
ก็เป็นการแลกเปลี่ยน ข้อคิด กับท่านอาจารย์
คิดว่าคงมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย
ก็ขออภัย เวลาน้อย ไม่สามารถ คุยแลกเปลี่ยนให้จบที่ รพ.โพธารามได้
ยินดี และขอบคุณที่ คณะ อจ.มาเยี่ยมพวกเรา
ให้พวกเราได้แต่งเครื่องแบบ เพิ่มอีก 1 วัน
(ทำความดีอีก 1 วัน)
สำนึกคุณ
เคารพรััก
--
นพ.สมบูรณ์ นันทานิช
วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554
การศึกษาดูงานของสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติที่โรงพยาบาลโพธาราม
วันที่: 19 สิงหาคม 2554
เวลา: 8.00-13.00น.
หัวข้อ: การศึกษาดูงานของสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติที่โรงพยาบาลโพธาราม
สถานที่: ห้องประชุมสารวจี โรงพยาบาลโพธาราม
อาสาสมัครฉือจี้ : กรรมการของโพธารามนายแพทย์สมบูรณ์ นันทานิช คุณสายหยุด เล่นวารี คุณสำเนียง เภาประเสริฐ คุณสุพัตรา แตงฮ้อ
คุณฉวีวรรณ โกเมนเอก คุณขวัญตา คล้ำเหลือ คุณนิตยา คำอาจ คุณนิภาวรรณ ธนพิรุณทร พี่ช้าง ป้าวิชาญ ป้ากัลยา ป้าสุนีย์ ป้าอุดม คุณสมพร คุณทัศนีย์ นันทานิช คุณจารุวรรณ หีบท่าไม้ คุณนฤมล คุณธร คุณเทวี ชุมแสง คุณศศิธร วงษ์เอี่ยม คุณอรฉัตร เนตนัตตา คุณสุรีพร วัฒนสืบสิน คุณเสริมทรง จันทร์เพ็ญ คูณชิดชม ชินนะ
รวมจำนวนอาสาสมัครฉือจี้ : 21 ท่าน
ผู้เข้าร่วมงาน : คณะทีมดูงานจากสถาบันเด็กแห่งชาติประกอบด้วยแพทย์พยาบาลและคณะเจ้าหน้าที่จำนวน 48 ท่าน และคณะเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลโพธาราม 10 ท่าน รวมจำนวนผู้เข้าร่วมงาน 79 ท่าน
ผู้ถ่ายภาพ: คุณขวัญตา คล้ำเหลือ
ผู้จดบันทึก: นางสาวสุพัตรา แตงฮ้อ
รายละเอียด :
คณะศึกษาดูงานจากสถาบันเด็กแห่งชาติเดินทางมาถึงโรงพยาบาลโพธารามเวลาประมาณ 09.00 น. ทีมงานของโรงพยาบาลโพธารามเข้าแถวร้องเพลงต้อนรับที่บริเวณหน้าอาคารเฉลิมพระเกียรติ แล้วแบ่งคณะดูงานเป็น 3 กลุ่ม โดยมีพี่เลี้ยงประจำแต่ละกลุ่ม แบ่งงานที่จัดให้คณะเยี่ยมชมดูประกอบด้วย ดูงานเสริฟน้ำชาที่แผนกผู้ป่วยนอก ดูสำนักงานฉือจี้ มีการแจกให้ผู้ดูงานเลือกหยิบเซียมซีวาทะธรรม ทุกคนต่างรู้สึกชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง เพราะวาทะธรรมที่ได้ตรงกับใจของตน และการดูงานจิตอาสาที่แผนกไตเทียม
เวลาประมาณ 10.20น.คณะดูงานขึ้นมารับประทานอาหารเบรคที่ห้องประชุมสารวจีและชมวีดีโอค่ายคุณธรรมรุ่นที่2 และชมวีดีโอแนะนำโรงพยาบาลโพธารามแล้วชมภาษามมือเพลงเชียนโส่ยซือเจี้ยโดยอาสาสมัครของโพธาราม
กล่าวต้อนรับคณะผู้ดูงานโดยนายแพทย์สมบูรณ์และแนะนำอาสาสมัครฉือจี้และคณะเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลโพธาราม
คุณสุพัตราบรรยายกิจกรรมของอาสาสมัครฉือจี้โพธาราม ประกอบด้วยกิจกรรมอาสาสมัครในโรงพยาบาล การเยี่ยมครอบครัวบุญคุณ กิจกรรมการรับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัย การออกหน่วยช่วยเหลือผู้ประสบภัยและแจกของ กิจกรรมอบรมตำรวจ กิจกรรมค่ายคุณธรรมและกิจกรรมการแยกขยะรีไซเคิลและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นต้น
คุณอิงอรยังได้บรรยายงานมิตรภาพบำบัดของโรงพยาบาลโพธาราม
เมื่อจบการบรรยายมีคณะผู้ดูงานซักถามถึงปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานจิตอาสาของโพธารามโดยมี นายแพทย์สมบูรณ์เป็นผู้ตอบข้อซักถาม
เมื่อตอบข้อซักถามแล้วมีการสอนภาษามือเพลงครอบครัวเดียวกันและเพลงแม่จ๋าให้แก่คณะผู้ดูงานและแสดงร่วมกันคณะผู้ดูงานชื่นชอบมาก
แพทย์จากโรงพยาบาลเด็กเป็นตัวแทนกล่าวขอบคุณแสดงความรู้สึก ชื่นชมกิจกรรมของโพธารามมาก มีคณะผู้มาดูงานกล่าวว่าเมื่อก้าวเข้ามาในโรงพยาบาลโพธารามแล้ว รู้สึกว่าเป็นบรรยากาศที่เปี่ยมด้วยความสุขรู้สึกเย็นสบายและเห็นอาสาสมัครและคณะเจ้าหน้าที่มีรอยยิ้มที่มีความสุข จึงเชื่อว่าเมื่อทำจิตอาสาแล้วคงมีความสุขและเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะภาพที่เห็นจากการนำเสนอ เห็นทุกคนมีความสุขทั้งคนเยี่ยมและคนถูกเยี่ยม และขอบคุณที่ทุกคนให้การต้อนรับอย่างดีเยี่ยม มีการมอบของที่ระลึกให้กันและกันแล้วถ่ายภาพร่วมกันก่อนรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน
ซึ่งเป็นอาหารแมคโคไบโอติกและฟังการบรรยายถึงประโยชน์ของอาหารโดยโภชนากรของโรงพยาบาลโพธาราม
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วคณะผู้ดูงานเดินทางกลับเราได้เข้าแถวส่งแขกมอบหนังสือธรรมมะ หนังสือพิมพ์ฉือจี้และผิงอันให้แก่แขกทุกท่านอวยพรให้เดินทางด้วยความปลอดภัย
▲อาสาสมัครเข้าแถวเตรียมต้อนรับคณะผู้ดูงาน
ภาพโดย คุณขวัญตา คล้ำเหลือ
▲อาสาสมัครเข้าแถวเตรียมต้อนรับคณะผู้ดูงาน
ภาพโดย คุณขวัญตา คล้ำเหลือ
▲รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลโพธารามและอาสาสมัครฉือจี้ คุณหมอสมบูรณ์ นันทานิชต้อนรับคณะศึกษาดูงาน
ภาพโดย คุณขวัญตา คล้ำเหลือ
▲รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลโพธารามและอาสาสมัครฉือจี้ คุณหมอสมบูรณ์ นันทานิชต้อนรับคณะศึกษาดูงาน
ภาพโดย คุณขวัญตา คล้ำเหลือ
▲คณะศึกษาดูงานฟังบรรยายที่สำนักงานฉือจี้ สาขาโรงพยาบาลโพธาราม โดยคุณจารุวรรณ หีบท่าไม้
ภาพโดย คุณขวัญตา คล้ำเหลือ
▲ศึกษาดูงานที่แผนกผู้ป่วยนอก
ภาพโดย คุณขวัญตา คล้ำเหลือ
▲ศึกษาดูงานที่แผนกผู้ป่วยนอก
ภาพโดย คุณขวัญตา คล้ำเหลือ
▲ศึกษาดูงานที่แผนกไตเทียม
ภาพโดย คุณขวัญตา คล้ำเหลือ
▲การแสดงภาษามือของอาสาสมัครเพื่อต้อนรับคณะผู้ดูงาน
ภาพโดย คุณขวัญตา คล้ำเหลือ
▲คณะผู้ดูงานชื่นชมและตั้งใจชมภาษามือที่แสดงอย่างมีความสุข
ภาพโดย คุณขวัญตา คล้ำเหลือ
▲นายแพทย์สมบูรณ์ นันทานิช กล่าวต้อนรับและแนะนำอาสาสมัคร
ภาพโดย คุณขวัญตา คล้ำเหลือ
▲บรรยายกิจกรรมของอาสาสมัครฉือจี้ที่โรงพยาบาลโพธารามโดยคุณสุพัตรา แตงฮ้อ
ภาพโดย คุณขวัญตา คล้ำเหลือ
▲คณะผู้ศึกษาดูงานร่วมทำภาษามือแม่จ๋าและครอบครัวเดียวกัน
ภาพโดย คุณขวัญตา คล้ำเหลือ
▲มอบของที่ระลึก
ภาพโดย คุณขวัญตา คล้ำเหลือ
▲ถ่ายภาพร่วมกัน
ภาพโดย คุณขวัญตา คล้ำเหลือ
▲มอบของที่ระลึกแก่ผู้ศึกษาดูงานก่อนเดินทางกลับ
ภาพโดย คุณขวัญตา คล้ำเหลือ
วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ภัยใหญ่ ๓ ภัยเล็ก ๓
เราคงเคยได้ฟัง จากที่ต่างๆ จาก สถานีโทรทัศน์ ก็ดี
จากคำบรรยายของ อาจารย์สุชน ก็ดี ถึง ระยะของโลกของเรา
มีมานานแล้ว
ตอนนี้ กำลังเข้าสู่ กลียุค
สาเหตุ สำคัญที่สุดอันหนึ่งคือ
จิต มนุษย์นี้ไม่บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยกิเลส ทั้งสาม
คือ โลภ โทสะ โมหะ
ภัยต่างๆ ก็ เข้ามาไม่ขาดสาย
ถี่ขึ้น ถี่ขึ้น
ภัยเหล่านี้ คืออะไร
จากพระธรรมเทศนา ของท่าน เจิ่้นเอี๋ยน ตอนหนึ่งว่า
ภัยเล็กสาม (เสี่ยว ซัน ไจ)
ภัยใหญ่สาม(ต้า ซัน ไจ)
ภัยเล็กสาม (เสี่ยว ซัน ไจ)
ได้แก่
๑.ความอดอยาก (จี เอ้อ)
๒.โรคติดต่อ (อุน อี้)
๓.สงคราม (เตา ปิง ฉิง)
ภัยใหญ่สาม(ต้า ซัน ไจ)
ได้แก่
๑.อุทกภัย สุย
๒.อัคคีภัย ฮ๋อ
๓.วาตภัย ฮ้ง
จากคำบรรยายของ อาจารย์สุชน ก็ดี ถึง ระยะของโลกของเรา
มีมานานแล้ว
ตอนนี้ กำลังเข้าสู่ กลียุค
สาเหตุ สำคัญที่สุดอันหนึ่งคือ
จิต มนุษย์นี้ไม่บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยกิเลส ทั้งสาม
คือ โลภ โทสะ โมหะ
ภัยต่างๆ ก็ เข้ามาไม่ขาดสาย
ถี่ขึ้น ถี่ขึ้น
ภัยเหล่านี้ คืออะไร
จากพระธรรมเทศนา ของท่าน เจิ่้นเอี๋ยน ตอนหนึ่งว่า
ภัยเล็กสาม (เสี่ยว ซัน ไจ)
ภัยใหญ่สาม(ต้า ซัน ไจ)
ภัยเล็กสาม (เสี่ยว ซัน ไจ)
ได้แก่
๑.ความอดอยาก (จี เอ้อ)
๒.โรคติดต่อ (อุน อี้)
๓.สงคราม (เตา ปิง ฉิง)
ภัยใหญ่สาม(ต้า ซัน ไจ)
ได้แก่
๑.อุทกภัย สุย
๒.อัคคีภัย ฮ๋อ
๓.วาตภัย ฮ้ง
วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554
แนะนำ จิตอาสาแนวทางฉือจี้ ที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เมื่อวัน พฤหัสบดี ที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๔
เวลา ๘.๓๐ ถึง ๑๖.๐๐ น.
นายแพทย์สมบูรณ์ นันทานิช
ได้รับเชิญไปบรรยาย เรื่องจิตอาสา ตามแนวพุทธฉือจี้
ให้กับ ฝ่ายกิจการนักศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อันประกอบด้วย
1.รศ.ดร.ธนิต ธงทอง
รองอธิการบดี ฝ่ายกิจการนักศึกษา
และ
คณาจารย์ ฝ่ายกิจการนิสิต ทุกคณะ
สืบเนื่องจากนโยบาย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มีนโยบายให้ นิสิต ทุกชั้นปี (ปี๑ ถึง ปี๓)
จะต้องมีกิจกรรมจิตอาสา
อย่างน้อยปีละ ๑๐ ชั่วโมง
โดยเริ่มจากปีการศึกษา ๒๕๕๔ นี้
มีวิตถุประสงค์ให้นักศึกษา ได้เข้าใจ
ถึงจิตวิญญาณ ของการช่วยเหลือสังคมส่วนรวมโดย
ไม่หวังผลตอบแทน
แนวทางของฉือจี้ ก็เป็นทางเลือกแนวหนึ่ง ของคณาจารย์
ว่าจะให้นักศึกษา มาทำงานจิตอาสาในแนวทางนี้
คณะที่ไปบรรยาย มี อาสาสมัครฉือจี้ไปหลายท่านได้แก่
อจ.รัศมี
คุณ บังอร
คุณสุชน แซ่เฮง
คุณบุญประกอบ
คุณปราณี
คุณฐิติมา
คุณน้ำผึ้ง
คุณกวิช
และ นพ.สมบูรณ์ นันทานิช
วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ความหมายของคำ ฉือจี้ แปลไทยว่าอะไร
คำถาม : คำว่า "ฉือ จี้" ในภาษาจีนหมายถึงอะไร ?
คำตอบ : คำว่า "ฉือ" หมายถึง เมตตา คำว่า "จี้" หมายถึง สงเคราะห์
คำถาม : มาเป็นอาสาสมัครกับมูลนิธิพุทธฉือจี้ มีค่าใช้จ่ายหรือภาระผูกพันหรือไม่ ?
คำตอบ : ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆและไม่มีภาระผูกพันเพียงเตรียมตัวและจัดเวลาในวันที่ว่างมาร่วมกิจกรรมกับมูลนิธิฯเท่านั้น
คำถาม : มูลนิธิพุทธฉือจี้ เป็นลัทธิหรือไม่ ?
คำตอบ : ไม่ใช่ลัทธิ มูลนิธิฉือจี้ เป็นมูลนิธิ ในศาสนาพุทธ นิกายมหายาน ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน ที่ไต้หวันโดยใช้หลักการให้ความช่วยเหลือโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์และศาสนา
คำถาม : ถ้าอยากเป็นอาสาสมัครของมูลนิธิฉือจี้ ที่ใส่เสื้อสีน้ำเงินกางเกงสีขาวจะต้องทำอย่างไร ?
คำตอบ : ประการแรก เราจะต้องมีจิตอาสา เพื่อเตรียมตัวช่วยเหลือผู้อื่นที่ยากไร้กว่า โดยเข้าร่วมกิจกรรมกับมูลนิธิฉือจี้ ไปบำเพ็ญประโยชน์ตามตารางกิจกรรมที่มูลนิธิฉือจี้กำหนดไว้ คอยดูอาสาสมัครพี่เลี้ยงที่งานจิตอาสา เพื่อจะนำเราเข้าสู่ผู้ที่มีจิตอาสาอย่างแท้จริง และเราจะต้องใส่เสื้อกั้กสีน้ำตาลเพื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและดูสวยงาม
ประการที่สอง หลังจากที่ได้ไปร่วมกิจกรรมแล้วและเข้าใจหลักการทำงานของมูลนิธิฉือจี้ อาสาสมัครใหม่จะต้องเข้าอบรมทั้งภาคทฤษฎีและฝึกปฏิบัติ อาสาสมัครใหม่จะต้องใส่เสื้อสีเทาและกางเกงสีขาวเมื่อเรียนรู้และเข้าใจหลัก การทำงานแล้วรวมถึงกฎระเบียบของมูลนิธิ จนบำเพ็ญประโยชน์ให้กับสังคมครบ 200 ชั่วโมง
ประการที่สาม หลังจากที่อาสามัครใหม่ ได้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมครบ 200 ชั่วโมงแล้วก็จะเข้าสู่การเป็นอาสาสมัครของมูลนิธิฉือจี้ อย่างเต็มตัวจึงจะได้ใส่เสื้อสีน้ำเงินกางเกงสีขาว และเข้าร่วมกิจกรรมกับอาสาสมัครท่านอื่นๆต่อไป..
กฎที่อาสาสมัครทุกท่านควรปฏิบัติตาม
1. คู่สามีภรรยาในเวลาที่สวมใส่ชุดฟอร์มของมูลนิธิฉือจี้ร่วมทำกิจกรรมอยู่นั้น ควรจะละเว้นกิริยาที่สนิทสนมเกินงาม ควรปฏิบัติต่อกันด้วยมารยาทดั่งปฏิบัติต่อแขกผู้มีเกียรติ
2. ในขณะที่ชาวฉือจี้สวมชุดฟอร์มอยู่นั้นให้ละเว้นการรับประทานอาหารคาว และขณะที่อยู่ในสถานที่สาธารณะสุขนั้นกิริยาต้องสำรวจ อย่าส่งเสียงดังโดยเฉพาะตอนที่โดยรถเท็กซี่นั้น ควรหลีกเลี่ยงการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องภายในของฉือจี้ เพื่อไม่เกิดปัญหาผู้พูดพูดไปโดยไม่เจตนา แต่ผู้ฟังเข้าใจความหมายผิด
3. ฉือจี้เป็นองค์กรปฏิบัติธรรมที่บริสุทธิ์ เกี่ยวกับธุรกิจการขายตรง การเล่นแชร์หรือการกู้ยืมเงินทองควรหลีกเลี่ยงการกระทำนั้นในองค์กรฉือจี้ ถ้ามีเคสต้องปฏิบัติ ขอให้มอบให้สาขาในเขตนั้นเป็นผู้รับผิดชอบและแจ้งให้สำนักงานศาสนารับทราบ
4. รูปถ่ายของมหาเถระ “อิ้นสุ้น” หรือของท่านธรรมจารย์ “เจิ้งเหยียน” โปรดอย่าถ่ายรูปถ่ายสำเนาหรือพิมพ์ออกแจกจ่ายก่อนได้รับอนุญาต
5. รูปพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ รูปมหาเถระ “อิ้นสุ้น” ธรรมาจารย์ “เจิ้งเหยียน” นั้นควรติดในที่ที่เหมาะสมและสะอาด
6. หากไม่แจ้งขออนุญาตโปรดอย่าขายสินค้าการกุศลในนามของฉือจี้ ถ้ามีผู้มีจิตศรัทธาต้องการจะทำบุญ โปรดแนะนำให้บริจาคที่มูลนิธิฉือจี้ในนามของเขาเอง
7. โปรดอย่าใส่ชุดฟอร์มของฉือจี้หรือใช้ธงของฉือจี้ในกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวกับงานของฉือจี้
8. ในกิจกรรมสัมนาธรรม(ก้งซิว) หรืองานเลี้ยงน้ำชา โปรดอย่าขายสินค้าเพื่อการกุศลโดยพลการ ถ้าหากต้องการจัดกิจกรรมขายสินค้าเพื่อการกุศลให้แจ้งให้
สาขาหรือสำนักงานศาสนาสาขาใหญ่เพื่อรับทราบ
9. จุดเก็บสิ่งของรีไซเคิลของฉือจี้ตามที่ต่างๆ โปรดอย่าวางสิ่งของทับถมกัน ระเกะระกะกันจนแลดูไม่สะอาดตา ควรวางเก็บให้ดูดี ในเวลาที่เก็บสิ่งของรีไซเคิลนั้น หากพบรูปพระหรือตำราที่ฉีกขาด ต้องใช้กระดาษห่อให้เรียบร้อย
10. การแสดงภาษามือของฉือจี้ นั้นให้แสดงแต่เฉพาะกิจกรรมของฉือจี้เท่านั้น โปรดอย่านำไปแสดงในงานมงคลหรืองานอมงคลอื่นๆ
บัญญัติฉือจี้ 10 ประการ
1.ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
2.ไม่ลักเล็กขโมยน้อย
3.ไม่ประพฤติผิดในกาม
4.ไม่พูดปดมดเท็จ
5.ไม่ดื่มสุรา
6.ไม่สูบบุหรี่- ไม่เสพยาเสพติด-ไม่เคี้ยวหมาก
7.ไม่เล่นการพนัน ไม่ฉวยโอกาส
8.กตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา พูดจาไพเราะ
9.ปฏิบัติตามกฎจราจร
10.ไม่เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองหรือการแสดงอำนาจ
(ส่วนหนึ่งของเอกสาร การอบรม อาสาสมัครฉือจี้)
คำตอบ : คำว่า "ฉือ" หมายถึง เมตตา คำว่า "จี้" หมายถึง สงเคราะห์
คำถาม : มาเป็นอาสาสมัครกับมูลนิธิพุทธฉือจี้ มีค่าใช้จ่ายหรือภาระผูกพันหรือไม่ ?
คำตอบ : ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆและไม่มีภาระผูกพันเพียงเตรียมตัวและจัดเวลาในวันที่ว่างมาร่วมกิจกรรมกับมูลนิธิฯเท่านั้น
คำถาม : มูลนิธิพุทธฉือจี้ เป็นลัทธิหรือไม่ ?
คำตอบ : ไม่ใช่ลัทธิ มูลนิธิฉือจี้ เป็นมูลนิธิ ในศาสนาพุทธ นิกายมหายาน ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน ที่ไต้หวันโดยใช้หลักการให้ความช่วยเหลือโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์และศาสนา
คำถาม : ถ้าอยากเป็นอาสาสมัครของมูลนิธิฉือจี้ ที่ใส่เสื้อสีน้ำเงินกางเกงสีขาวจะต้องทำอย่างไร ?
คำตอบ : ประการแรก เราจะต้องมีจิตอาสา เพื่อเตรียมตัวช่วยเหลือผู้อื่นที่ยากไร้กว่า โดยเข้าร่วมกิจกรรมกับมูลนิธิฉือจี้ ไปบำเพ็ญประโยชน์ตามตารางกิจกรรมที่มูลนิธิฉือจี้กำหนดไว้ คอยดูอาสาสมัครพี่เลี้ยงที่งานจิตอาสา เพื่อจะนำเราเข้าสู่ผู้ที่มีจิตอาสาอย่างแท้จริง และเราจะต้องใส่เสื้อกั้กสีน้ำตาลเพื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและดูสวยงาม
ประการที่สอง หลังจากที่ได้ไปร่วมกิจกรรมแล้วและเข้าใจหลักการทำงานของมูลนิธิฉือจี้ อาสาสมัครใหม่จะต้องเข้าอบรมทั้งภาคทฤษฎีและฝึกปฏิบัติ อาสาสมัครใหม่จะต้องใส่เสื้อสีเทาและกางเกงสีขาวเมื่อเรียนรู้และเข้าใจหลัก การทำงานแล้วรวมถึงกฎระเบียบของมูลนิธิ จนบำเพ็ญประโยชน์ให้กับสังคมครบ 200 ชั่วโมง
ประการที่สาม หลังจากที่อาสามัครใหม่ ได้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมครบ 200 ชั่วโมงแล้วก็จะเข้าสู่การเป็นอาสาสมัครของมูลนิธิฉือจี้ อย่างเต็มตัวจึงจะได้ใส่เสื้อสีน้ำเงินกางเกงสีขาว และเข้าร่วมกิจกรรมกับอาสาสมัครท่านอื่นๆต่อไป..
กฎที่อาสาสมัครทุกท่านควรปฏิบัติตาม
1. คู่สามีภรรยาในเวลาที่สวมใส่ชุดฟอร์มของมูลนิธิฉือจี้ร่วมทำกิจกรรมอยู่นั้น ควรจะละเว้นกิริยาที่สนิทสนมเกินงาม ควรปฏิบัติต่อกันด้วยมารยาทดั่งปฏิบัติต่อแขกผู้มีเกียรติ
2. ในขณะที่ชาวฉือจี้สวมชุดฟอร์มอยู่นั้นให้ละเว้นการรับประทานอาหารคาว และขณะที่อยู่ในสถานที่สาธารณะสุขนั้นกิริยาต้องสำรวจ อย่าส่งเสียงดังโดยเฉพาะตอนที่โดยรถเท็กซี่นั้น ควรหลีกเลี่ยงการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องภายในของฉือจี้ เพื่อไม่เกิดปัญหาผู้พูดพูดไปโดยไม่เจตนา แต่ผู้ฟังเข้าใจความหมายผิด
3. ฉือจี้เป็นองค์กรปฏิบัติธรรมที่บริสุทธิ์ เกี่ยวกับธุรกิจการขายตรง การเล่นแชร์หรือการกู้ยืมเงินทองควรหลีกเลี่ยงการกระทำนั้นในองค์กรฉือจี้ ถ้ามีเคสต้องปฏิบัติ ขอให้มอบให้สาขาในเขตนั้นเป็นผู้รับผิดชอบและแจ้งให้สำนักงานศาสนารับทราบ
4. รูปถ่ายของมหาเถระ “อิ้นสุ้น” หรือของท่านธรรมจารย์ “เจิ้งเหยียน” โปรดอย่าถ่ายรูปถ่ายสำเนาหรือพิมพ์ออกแจกจ่ายก่อนได้รับอนุญาต
5. รูปพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ รูปมหาเถระ “อิ้นสุ้น” ธรรมาจารย์ “เจิ้งเหยียน” นั้นควรติดในที่ที่เหมาะสมและสะอาด
6. หากไม่แจ้งขออนุญาตโปรดอย่าขายสินค้าการกุศลในนามของฉือจี้ ถ้ามีผู้มีจิตศรัทธาต้องการจะทำบุญ โปรดแนะนำให้บริจาคที่มูลนิธิฉือจี้ในนามของเขาเอง
7. โปรดอย่าใส่ชุดฟอร์มของฉือจี้หรือใช้ธงของฉือจี้ในกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวกับงานของฉือจี้
8. ในกิจกรรมสัมนาธรรม(ก้งซิว) หรืองานเลี้ยงน้ำชา โปรดอย่าขายสินค้าเพื่อการกุศลโดยพลการ ถ้าหากต้องการจัดกิจกรรมขายสินค้าเพื่อการกุศลให้แจ้งให้
สาขาหรือสำนักงานศาสนาสาขาใหญ่เพื่อรับทราบ
9. จุดเก็บสิ่งของรีไซเคิลของฉือจี้ตามที่ต่างๆ โปรดอย่าวางสิ่งของทับถมกัน ระเกะระกะกันจนแลดูไม่สะอาดตา ควรวางเก็บให้ดูดี ในเวลาที่เก็บสิ่งของรีไซเคิลนั้น หากพบรูปพระหรือตำราที่ฉีกขาด ต้องใช้กระดาษห่อให้เรียบร้อย
10. การแสดงภาษามือของฉือจี้ นั้นให้แสดงแต่เฉพาะกิจกรรมของฉือจี้เท่านั้น โปรดอย่านำไปแสดงในงานมงคลหรืองานอมงคลอื่นๆ
บัญญัติฉือจี้ 10 ประการ
1.ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
2.ไม่ลักเล็กขโมยน้อย
3.ไม่ประพฤติผิดในกาม
4.ไม่พูดปดมดเท็จ
5.ไม่ดื่มสุรา
6.ไม่สูบบุหรี่- ไม่เสพยาเสพติด-ไม่เคี้ยวหมาก
7.ไม่เล่นการพนัน ไม่ฉวยโอกาส
8.กตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา พูดจาไพเราะ
9.ปฏิบัติตามกฎจราจร
10.ไม่เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองหรือการแสดงอำนาจ
(ส่วนหนึ่งของเอกสาร การอบรม อาสาสมัครฉือจี้)
ป้ายกำกับ:
การพัฒนาอาสาสมัคร,
วินัยหน้าที่
วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554
กิจกรรมรีไซเคิล ของอาสาสมัครฉือจี้ จังหวัดนครสวรรค์
กิจกรรมรีไซเคิล ของอาสาสมัครฉือจี้ จังหวัดนครสวรรค์
การคัดแยกขยะ
วันที่ 12 มิถุนายน 2554
ณ.ลานไทร วัดไทรใต้ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์
วัตถุประสงค์
ช่วยลดภาระการกำจัดขยะ เป็นการพิทักษ์โลกให้พ้นวิกกฤติ
เพื่อฝึกฝนขัดเกลาจิตใจ ลดความเป็นตัวตน
เกิดจิตสำนึกในเรื่อง ลด การสร้างขยะ
สอนให้รักสิ่งแวดล้อม รักโลก โดยลงมือทำเป็นแบบอย่างให้เยาวชน สร้างความหวังให้โลกในอนาคต
รายได้ร่วมสมทบทุนสร้างศูนย์การแพทย์มหิดล นครสวรรค์ ซึ่งเป็นสถานที่รักษาผู้ป่วย และสถานศึกษา
อาสาสมัครฉือจี้เสื้อสีน้ำเงิน (หลานเทียนไป๋อวิ๋น) จำนวน 4 คน
อาสาสมัครฉือจี้เสื้อสีเทา(ฮุยเทียนไป๋อวิ๋น) จำนวน 3 คน
นักศึกษาพยาบาล จำนวน 19 คน
อาจารย์พยาบาล จำนวน 1 คน
อาสาสมัครประจำหมู่บ้าน (อสม.) จำนวน 1 คน
ผู้สูงอายุ จำนวน 2 คน
บุตรของอาสาสมัครฉือจี้ จำนวน 5 คน
รวม 35 คน
กิจกรรม
เชิญชวนสมาชิกและครอบครัว เก็บรวบรวมขยะที่บ้านเท่าที่ทำได้ เช่นกระดาษ พลาสติก แก้ว โลหะ ฯลฯ
กำหนดเดือนละ 1 ครั้ง เบื้องต้นเป็นวันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 2 ของเดือน นัดหมายกันในครั้งแรกนี้ วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน 54 เวลา 13.00 น.
นัดหมายให้ผู้รับซื้อขยะรายย่อยที่ขี่รถสามล้อมารับซื้อ
หลังจากคัดแยกขยะเสร็จ ขายทันที
ระหว่างรอแจ้งยอดเงินขายขยะ มีการแบ่งปันความรู้สึกในการมาร่วมกิจกรรม
เสร็จสิ้นเวลาประมาณ15.00น.
กิจกรรมรีไซเคิล
มีประโยชน์ ทั้งต่อตนเองและสิ่งแวดล้อม เช่นได้เกิดการเรียนรู้มากมาย
เป็นการทำงานที่สามารถให้มีผู้เข้าร่วมได้มาก
ทำให้มีโอกาสให้ความรู้แก่สังคมได้
เป็นการสร้างการตื่นตัวให้ชาวนครสวรรค์ได้รู้จักอาสาสมัครชาวฉือจี้
รักบ้านเรา รักสิ่งแวดล้อม
ทีมงาน
ผู้ถ่ายภาพ
นางพรเพ็ญ ตั้งยิ่งยง
อาจารย์ชุลีพร ปิยะสุทธิ์
ผู้บันทึก
นางเพียรพร ยูงทอง
วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554
เจ้าหน้าที่ี รพ.เสนา มาการดูงานกิจกรรมฉือจี้ที่ รพ.โพธาราม
การดูงานจิตอาสาของโรงพยาบาลโพธารามโดยโรงพยาบาลเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เมื่อวันที่: 7 มิถุนายน 2554
อาสาสมัครฉือจี้ :รวมจำนวนอาสาสมัครฉือจี้ : 25 ท่าน นายแพทย์ สมบูรณ์ นันทานิช นายแพทย์บุญเรียง ชูชัยแสงรัตน์
นางสมจิตร์ ศักดิ์สิทธิกร น.ส.สุพัตรา แตงฮ้อ น.ส.ส าเนียง เภาประเสริฐ นางฉวีวรรณ โกเมนเอก
นางสุรีย์พร วัฒนสืบสิน น.ส.กุลนภา สุรารักษ์ น.ส.วิภาวรรณ ธนพิรุนธร
น.ส.วันทนี ห่อมา นางระพีพรรณ ภูษณะพงษ์
น.ส.ศศิธร วงษ์เอี่ยม น.ส.อรฉัตร เนตนัตตา น.ส.ขวัญตา คล าเหลือ นางกัลยา โพธาวนิช
น.ส.สมทรง มีศิลป์ สม น.ส.อุดม กรุด ทอง นางหงส์ เรียบร้อย
น.ส.ชิดชม ชินนะ น.ส.ทัศนีย์ นันทานิช นางนิตยา ค าอาจ นางเสริมทรง จันทร์เพ็ญ
นางจอง สิงขุนทด นายภากร ( กอล์ฟ) นายชาญเดช สหสัจจญาณ
ผู้เข้าร่วมงาน : เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลโพธาราม 4 ท่านคือ
นายแพทย์สุภัค ปิติภากร
นางชมนภา ปิติภากร
น.ส.นาวิกา รอดเชือ
น.ส.อิงอร พงศ์พุทธชาติ
นางวาสนา เรืองศรีมั่น
เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลเสนา 21 ท่าน
รวมจำนวนผู้เข้าร่วมงาน 50 ท่าน
ผู้ถ่ายภาพ: นางฉวีวรรณ โกเมนเอก และ นายณัฐพงษ์ ทองสาด
ผู้ถ่ายวีดีโอ : นางฉวีวรณ โกเมนเอก
ผู้จดบันทึก: น.ส.สุพัตรา แตงฮ้อ
---------------------------
รายละเอียดกิจกรรม: เริ่มจากอาสาสมัครและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลโพธาราม เข้าแถวต้อนรับผู้มาดูงานหน้าตึกอาคารเฉลิมพระเกียรติและ
ร้องเพลงต้อนรับด้วยความอบอุน
จากนั้นจึงพามายังห้องประชุมชัยพฤกษ์ กล่าวต้อนรับ พร้อมทั้งแนะนำโรงพยาบาลโพธาราม
โดยรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลโพธารามและอาสาสมัครฉือจี้้นายแพทย์สมบูรณ์ นันทานิช
ให้ทุกคนแนะนำตัว โดยเริ่มจากชาวโพธารามก่อน
ผู้มาดูงานจากโรงพยาบาลเสนาประกอบด้วย รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลฝ่ายการแพทย์
รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารและหัวหน้าพยาบาล พยาบาล 8 ท่าน เจ้าหน้าที่ และจิตอาสา
ของโรงพยาบาลเสนา
เมื่อแนะนำตัวเสร็จแล้ว จึงมีการแสดงภาษามือประกอบเพลง “โลกนี้มีความรัก” ของอาสาสมัครฉือจี้โพธาราม
แล้วมี การเสริฟอาหารว่างให้ผู้มาดูงานตามแบบฉบับของฉือจี้คือ
เดินเป็นแถวแล้วเสริฟพร้อมกัน ขณะรับประทานอาหารว่างให้
รับชมวีดีโอภาพกิจกรรมค่ายคุณธรรมฉือจี้รุ่น ที่ 4
ซึ่งจัดขึ้น ณ โรงพยาบาลโพธารามโดยให้เด็กและผู้ปกครองเข้าร่วม
เรียนรู้เสริมสร้างคุณธรรมไปพร้อมกัน สร้างความซาบซึงใจและเป็นที่ชื่นชมของผู้รับชมเป็นอย่างมาก
เสร็จแล้วจึงเชิญไปดูอาสาสมัครโรงพยาบาลของโพธาราม
แขกทุกคนให้ความสนใจซักถามและมีผู้ทดลองเสริฟน้ำชาด้วย
ใช้เวลาประมาณ 40 นาที เมื่อขึ้นมาที่ห้อง
ประชุมจึงให้ดูวีดีโอภาพกิจกรรมสรงน้ำพระบนหอผู้ป่ วย
เนื่องในวันวิ สาขบูชา ให้ผู้ป่วยที่ไม่สามารถลุกจากเตียงได้กราบขอพรพระรัตนตรัย
เพื่อสร้างกำลังใจ
เพิ่มความสดชื่นยามเจ็บป่วย
จากนั้นจึงมีการสอนการร้องเพลงท่าทาง ต้อนรับเพราะว่า
นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดราชบุรีและอาสาสมัครฉือจี้
นายแพทย์บุญเรียง ชูชัยแสงรัตน์ กำลังจะเดินทางมาถึง
เมื่อนายแพทย์บุญเรียงมาถึง ทุกคนร้องเพลงและทำภาษามือต้อนรับด้วยความอบอุ่น
นายแพทย์สมบูรณ์บรรยาย ความเป็นมาของการเกิดจิตอาสาฉือจี้ของโพธาราม
และแบ่งปันความรู้สึกกิจกรรมของโพธาราม แล้วนายแพทย์บุญเรียง จึงแบ่งปันการไปทำ
จิตอาสาที่ฉือจีไต้หวัน พร้อมเปิดโอกาสให้ซักถาม
มีผู้สอบถามเรื่องศาสนาอื่นมาเป็นอาสาสมัครฉือจี้ ได้หรือไม่
แพทย์บุญเรียงตอบข้อสงสัยให้จนเข้าใจ
ทุกท่านร่วมรับประทานอาหารกลางวัน
เป็นอาหารแมคโคไบโอติคแบบมังสวิรัติ
มีนักโภชนาการมาให้ความรู้ เรื่อง อาหารด้วย
หลังรับประทานอาหารแล้วมีการถ่ายรูปหมู่ร่วมกันก่อนนายแพทย์บุญเรียงเดินทางกลับ
ภาคบ่ายมีการสอนภาษามือเพลงครอบครัวเดียวกัน
แล้วมีบรรยายแบ่งปันเรื่องราวของครอบครัวบุญคุณฉือจี้ของ
โพธารามโดยอาสาสมัครคุณสุพัตรา แตงฮ้อ
แล้วมีการบรรยายกิจกรรมจิตอาสาและมิตรภาพบำบัดของโพธารามมีการตอบ
ข้อซักถามและแบ่งปัน มีพยาบาลท่านหนึ่งแบ่งปันว่ารู้จักฉือจี้จาก
การฟังบรรยายที่เมืองทองธานีและเมื่อมาฟังจากโพธารามแล้วเข้าใจมาก
ขึ้นสนใจที่จะเข้ารับอบรมอาสาสมัครฉือจี้
นายแพทย์นายแพทย์สุภัค ปิติภากร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโพธาราม
เดินทางจากกรุงเทพเพื่อมาต้อนรับคณะดูงานเมื่อเวลาประมาณ 14.30 น.
เมื่อกล่าวต้อนรับแล้ว ท่านแบ่งปันเรื่องมูลนิธิพุทธฉือจี้ให้ฟังเพราะท่านสนใจและอ่าน
หนังสือเกี่ยวกับมูลนิธิฯมามากหลายเล่มและชักชวนให้โรงพยาบาลเสนา
มาเป็นคู่แฝดทำฉือจี้ ไปพร้อมๆ กัน
รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ของโรงพยาบาลเสนากล่าวขอบคุณ
พร้อมมอบของที่ระลึกให้โรงพยาบาลโพธาราม
แล้วถ่ายรูปหมูร่วมกันอีกครั้ง
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโพธารามมอบของที่ระลึกให้คณะที่มาดูงานด้วยความรัก
วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2554
การแต่งกายของชาวฉือจี้ สะท้อน จิตวิญญาณของชาวฉือจี้ทั้งมวล
-------------------------------------------------------------คุณพิพัฒน์ ทิพย์ธวัธวงศา
ท่านได้ไปพำนัก
ที่สมณาราม เมืองฮวาเหลียน ประเทศไต้หวัน
ท่านได้อบรมบ่มเพาะจิตใจ
มานานเกือบหกเดือนแล้ว
พวกเราดีใจที่ท่านส่งข่าวคราวมาถึงชาวราชบุรี
ท่านได้ เมตตากรุณา
นำคำตักเตือนของท่านซ่างเหยินต่อชาวฉือจี้
เรื่องการแต่งกาย การรักษาจริยาวัตรของชาวฉือจี้
มาถ่ายทอดให้พวกเราทราบ
นอกจากนี้
ยังเป็นเอกสารภาษาจีน พร้อมคำแปลประกอบ
พวกเราจะได้เรียนภาษาจีนด้วย
諸位菩薩 阿彌陀佛!
看到苦難人得離苦真是令人萬分感動
不過,上人非常的注重慈濟人的形相威儀總稱“慈濟人文”
隨師時上人常說過 「人人都執著”我相”我也是有執著,但是我是執著慈濟形相」
而每次因入經藏活動企劃團隊要出差(離開精舍), 上人一一叮嚀要時時保持慈濟形相和慈濟人文不能疏忽!
如此在正式活動當中請大家主義 制服整齊穿著 慈濟面霜 端正行為 等。。
以上分享
無限感恩
末學 黃濟詮 合十
สวัสดีครับ
เห็นภาพกิจกรรมแล้วรู้สึกยินดีมากครับที่ผู้เดือดร้อนได้รับการช่วยเหลือ
อย่างไรก็ตามในการออกไปให้การช่วยเหลือ บุคลิกและจริยวัตรของชาวฉือจี้ก็ไม่ควรจะละเลย
การแต่งเครื่องแบบให้เรียบร้อยก็เรียกว่าเป็นส่วนสำคัญที่ท่านธรรมาจารย์เน้นย้ำอยู่เสมอ
ซึ่งในขณะที่ได้อยู่ที่ไต้หวัน หากจะต้องออกไปทำกิจกรรมภายนอก ท่านธรรมจารย์จะเน้นย้ำถึง
จริยวัตรฉือจี้ ท่านตักเตือนว่าจะละเลยไม่ได้เด็ดขาดต้องคอยเตือนตัวเองและช่วยกันตักเตือนด้วยอย่าให้เสื่อมเสีย
จึงขอให้ช่วยคอยตักเตือนซึ่งกันและกันด้วยนะครับ
ขอบพระคุณครับ
พิพัฒน์
*************************************************************
คำศัพท์
*************************************************************
1. 合 十 แปลว่า สิบนิ้วพนมกร หรือ
"Close Ten" means put you left hand(5 fingers) & right hand(5 fingers) together,
อ่านว่า เหอ สือ
เป็นการแสดงความเคารพ หรือ ให้เกียรติ ผู้รับ หรือผู้อ่านจดหมาย
-------------------------------------------------------------------------------------------------
2. 黃濟詮
เป็นชื่อของคุณพิพัฒน์ ชื่อฉายาที่ ท่านซ่างเหรินตั้งให้
黃 Huang หวง แต้จิ๋วเรียก อึ๊ง แซ่อึ๊ง เป็นชื่อสกุล
濟 จี้ แปลว่า สงเคราะห์
กรรมการฉือจี้ ผู้ชาย(เกือบ)ทุกคน จะได้ คำนี้เป็นชื่อแรก เหมือนกัน
คำว่า 詮 อ่านว่า "เฉวียน" (ออกเสียง ฉ และ ว ควบ) หรือ เสียงภาษาไทยใกล้เคียงที่สุดคือ "ฉวน"คำนี้ไม่ใช้เดี่ยวๆ มักใช้คู่
--------------------------------------------------------------------------------------------------
3. 感恩 กั่งเอิ๊น สำนึกในพระคุณ
--------------------------------------------------------------------------------------------------
ท่านได้ไปพำนัก
ที่สมณาราม เมืองฮวาเหลียน ประเทศไต้หวัน
ท่านได้อบรมบ่มเพาะจิตใจ
มานานเกือบหกเดือนแล้ว
พวกเราดีใจที่ท่านส่งข่าวคราวมาถึงชาวราชบุรี
ท่านได้ เมตตากรุณา
นำคำตักเตือนของท่านซ่างเหยินต่อชาวฉือจี้
เรื่องการแต่งกาย การรักษาจริยาวัตรของชาวฉือจี้
มาถ่ายทอดให้พวกเราทราบ
นอกจากนี้
ยังเป็นเอกสารภาษาจีน พร้อมคำแปลประกอบ
พวกเราจะได้เรียนภาษาจีนด้วย
諸位菩薩 阿彌陀佛!
看到苦難人得離苦真是令人萬分感動
不過,上人非常的注重慈濟人的形相威儀總稱“慈濟人文”
隨師時上人常說過 「人人都執著”我相”我也是有執著,但是我是執著慈濟形相」
而每次因入經藏活動企劃團隊要出差(離開精舍), 上人一一叮嚀要時時保持慈濟形相和慈濟人文不能疏忽!
如此在正式活動當中請大家主義 制服整齊穿著 慈濟面霜 端正行為 等。。
以上分享
無限感恩
末學 黃濟詮 合十
สวัสดีครับ
เห็นภาพกิจกรรมแล้วรู้สึกยินดีมากครับที่ผู้เดือดร้อนได้รับการช่วยเหลือ
อย่างไรก็ตามในการออกไปให้การช่วยเหลือ บุคลิกและจริยวัตรของชาวฉือจี้ก็ไม่ควรจะละเลย
การแต่งเครื่องแบบให้เรียบร้อยก็เรียกว่าเป็นส่วนสำคัญที่ท่านธรรมาจารย์เน้นย้ำอยู่เสมอ
ซึ่งในขณะที่ได้อยู่ที่ไต้หวัน หากจะต้องออกไปทำกิจกรรมภายนอก ท่านธรรมจารย์จะเน้นย้ำถึง
จริยวัตรฉือจี้ ท่านตักเตือนว่าจะละเลยไม่ได้เด็ดขาดต้องคอยเตือนตัวเองและช่วยกันตักเตือนด้วยอย่าให้เสื่อมเสีย
จึงขอให้ช่วยคอยตักเตือนซึ่งกันและกันด้วยนะครับ
ขอบพระคุณครับ
พิพัฒน์
*************************************************************
คำศัพท์
*************************************************************
1. 合 十 แปลว่า สิบนิ้วพนมกร หรือ
"Close Ten" means put you left hand(5 fingers) & right hand(5 fingers) together,
อ่านว่า เหอ สือ
เป็นการแสดงความเคารพ หรือ ให้เกียรติ ผู้รับ หรือผู้อ่านจดหมาย
-------------------------------------------------------------------------------------------------
2. 黃濟詮
เป็นชื่อของคุณพิพัฒน์ ชื่อฉายาที่ ท่านซ่างเหรินตั้งให้
黃 Huang หวง แต้จิ๋วเรียก อึ๊ง แซ่อึ๊ง เป็นชื่อสกุล
濟 จี้ แปลว่า สงเคราะห์
กรรมการฉือจี้ ผู้ชาย(เกือบ)ทุกคน จะได้ คำนี้เป็นชื่อแรก เหมือนกัน
คำว่า 詮 อ่านว่า "เฉวียน" (ออกเสียง ฉ และ ว ควบ) หรือ เสียงภาษาไทยใกล้เคียงที่สุดคือ "ฉวน"คำนี้ไม่ใช้เดี่ยวๆ มักใช้คู่
--------------------------------------------------------------------------------------------------
3. 感恩 กั่งเอิ๊น สำนึกในพระคุณ
--------------------------------------------------------------------------------------------------
ป้ายกำกับ:
การพัฒนาอาสาสมัคร,
ภาษาจีน,
วัฒนธรรมฉือจี้,
วินัยหน้าที่
Potent Medicine
Potent Medicine : การรักษาที่มีพลังแรงมาก
จาก วารสารฉือจี้ Tzu Chi : Buddhism in Action
Quarterly
รายสามเดือน ฉบับ Vol.18 No.1 Spring 2011
หน้าที่ 79-83
พิมพ์ที่ประเทศไต้หวัน
เมื่อหลายเดือนก่อน ราว มีนาคม 2554
ได้มีนักข่าวสาวจากวารสารฉือจี้ ประเทศไต้หวัน
ชื่อ Tu Xin-yi
ช่างภาพ ชื่อ Lin yan-huang
ได้มาเก็บข้อมูลเรื่องราวของฉือจี้ในประเทศไทย
ในจังหวัดต่างๆ กทม เชียงราย เชียงใหม่ ราชบุรี
ได้มาอยู่เมืองไทยราว ครึ่งเดือน
และวันหนึ่ง นักข่าวก็ได้มาสัมภาษณ์ข้าพเจ้า
คุณเมตตา แซ่ชิว
ถ่ายรูปกิจกรรมของ อาสามัครฉือจี้ โพธาราม ราชบุรีไป
มีข่าวลงมาแล้วหลายฉบับ
เป็นภาษาจีน ข้าพเจ้าอ่านไม่ออก กำลังหาคนแปล
วันหลังคงได้มาลงเผยแพร่
คราวนี้ีมีภาษาอังกฤษ
ข้าพเจ้าจึงถ่ายเอกสารมาลงเฉพาะเรื่องของโพธาราม
ภาค ภาษาอังกฤษ
ผมจะค่อยๆแปลไปเรื่อยๆ เพื่อคนไทยจะได้เข้าใจว่าเขาลงข่าวว่าอย่างไร
------------------------------------------------------------------------( หน้าที่ 1)
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
------------------------------------------------------------------------(หน้าที่ 2)
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
------------------------------------------------------------------------(หน้าที่ 3)
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
------------------------------------------------------------------------(หน้าที่ 4)
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
------------------------------------------------------------------------(หน้าที่ 5)
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
*
วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
วาทะธรรม: ความดี 10 ประการ รากฐานของ เหยินหวุน
ความดี 10 ประการ รากฐานของ เหยินหวุน
(THE TEN GOODS:THE FOUNDATION OF HUMANITY)
ธรรมมาจารย์ เจิ้นเอี๋ยง ได้สอนให้ ลูกศิษย์ทุกคน
นอกจากต้องปฏิบัติตามศีล 5 แล้ว ต้องทำความดีอีก 10 ประการได้แก่
กระทำดี 3 ประการ
พูดดี 4 ประการ
คิดดี 3 ประการ
กระทำดี ๓ ประการได้แก่
๑.คุ้มครอง ปกป้อง สรรพชีวิต (Protect life)
๒.บริจาค ให้ทาน (giving)
๓.การมีชีวิตคู่ กับคู่ครอง อย่างถูกต้อง อยู่ในศีลธรรม ตามวัฒนธรรม สังคมและศาสนา(chastity)
พูดดี 4 ประการ
๔.พูดแต่ความจริง(truth)
๕.พูดไพเราะ น่าฟัง(pleasant language)
๖.พูดที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นและสังคม (Agreeable words)
๗.พูดตรงไปตรงมา (Straight forward speech-ไม่พูดเพ้อเจ้อ)
คิดดี ๓ ประการ
๘.คิดขจัดความโลภออกจากใจ(eliminate greed)
๙.คิดเมตตา โดยขจัดความโกรธออกจากใจ(eliminate anger)
๑๐.จิตที่เชื่อมั่นในกฎแห่งกรรมเพื่อขจัดความหลงออกไป(The law of cause and effect to eliminate delusion)
(แปลจากหนังสือ THREE WAYS TO THE PURE LAND lecture by Dharma Master Cheng Yen.Translated by Lin Sen-shou
English edited by Hu Tsang-hsiang and Douglas Shaw.Published by the Tzu Chi Cultural Publishing Co.Fourth printing May 2008.Page 84-94.)
ทั้ง 10 ประการนี้ เชื่อว่าชาวพุทธไทยเรา
ก็คงเคยได้ฟังธรรมนี้มา ตั้งแต่เป็นนักเรียนชั้นประถม
เป็นเรื่องที่ ท่านซ่างเหยิน หยิบขึ้นมาสอนคนไต้หวัน
และคนทั่วๆไป ว่า ทำ 10 ข้อนี้ เป็นรากฐานของ
จริยธรรม ที่จะบังเกิดขึ้นในใจของเรา
ธรรม ที่ฉือจี้ รักษา
กับธรรม ที่สอนในเมืองไทย
ไม่แตกต่างกัน
ต่างกันที่ คน ไทย หรือคนไต้หวัน
จะนำธรรม
นั้น
มาทำ
หรือไม่เท่านั้น
รายงานการประชุม อส.ฉจ.ราชบุรี 28-5-2011 菩提會議記錄
菩提會議記錄
บันทึกการประชุมผูถีฮูอ้ายราชบุรี
วันที่ 28 พฤษภาคม 2554 เวลา 8.30 น – 17.00
น ห้องประชุมพงษธา อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลโพธาราม
ผู้ร่วมประชุมทั้งหมด 27 ท่าน
กรรมการจากกรุงเทพ 5 ท่าน คือ คุณเมตตา อาจารย์สุชน ป้าชู คุณบุญประกอบและอาหมิง
อาสาสมัครโพธาราม 13 ท่านคือ แพทย์สมบูรณ์ คุณนก คุณแมว พี่สายหยุด
พี่สำเนียง พี่นิตยา พี่ขวัญตา พี่เว้ง พี่เง็ง ป้ากัลยา ป้าสุนี น้าทวี และคุณแตง
จากสสจ.ราชบุรี 2 ท่านคือนายแพทย์บุญเรียง คุณกอล์ฟ
วัดเพลง 2 ท่าน
บ้านโป่ง 5 ท่าน
ผู้บันทึกการประชุม น.ส.สุพัตรา แตงฮ้อ ( คุณแตง)
ผู้ถ่ายภาพ นายวีระชัย ทาบุญสม (อาหมิง)
----------------------------------------------
*เริ่มประชุมโดยการไหว้พระ ร้องเพลงมาร์ชฉือจี้ กล่าวศีล สิบ
*แล้วฟังท่านธรรมมาจารย์เทศน์ เรื่องอาหารและเครื่องดื่มที่วางขายในร้านสะดวกซื้อที่ประเทศไต้หวั่นมีการตรวจพบมีสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกายหลายชนิดซึ่งเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะเกิดโทษ ดังนั้นเราควรหลีกเลี่ยง การทำอาหารรับประทานเองที่บ้านจะปลอดภัยกว่า น้ำดื่มก็ควรนำไปจากบ้านก็จะดีกว่าสะอาดกว่าอาจนำมาต้มให้สะอาดก่อน คนเราต้องรู้จักรักและถนอมร่างกายของเราเพื่อทำประโยชน์ทำความดีต่อโลกและมวลมนุษย์ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์รสจืดจะดีต่อสุขภาพ เราต้องรู้จักใช้ชีวิตที่แสนสั้นนี้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น มักมีคนพูดว่ารอให้รวยก่อนค่อยช่วยเหลือผู้อื่นนี้คือความโลภเพราะคนเราส่วนมากมักจะคิดว่าได้หรือมีอยู่แค่หนึ่งยังขาดอีกตั้ง เก้า เสมอแล้วเมื่อไหร่ที่จะบอกว่าตนเองรวย การได้รวบรวมทรัพย์คนละเล็กคนละน้อยเพื่อช่วยเหลือคนอื่นได้ถือเป็นเรื่องดี การรับประทานอาหารแต่ละมื้อให้ทานแค่ พออิ่ม 70-80 % ก็พอ เก็บที่เหลือไว้ช่วยเหลือผู้อื่นการรู้จักประหยัดกินประหยัดใช้เปรียบเสมือนการปฎิบัติธรรมการให้ทานทำให้จิตใจเปรียบเสมือนยิ่งรวย คนที่ไม่ค่อยมีทรัพย์แต่รู้จักให้ความรักแก่ผู้อื่นก็จะรวยความรักรวยน้ำใจจิตใจก็จะดี การทำความดีเป็นการตอบแทนคุณพ่อแม่และพระแม่ธรณีด้วย ก่อนเทศน์จบท่านธรรมมาจารย์อวยพรให้ทุกคนปลอดภัย
*คุณเมตตาแบ่งปันเรื่องการซื้ออาหารใส่ถุงพลาสติกเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้ง่ายเพราะสารที่ใช้ผลิตถุงเมื่อถูกความร้อนก็จะออกมาในอาหารเมื่อรับประทานอาหารก็ได้รับสารพิษเข้าไปสะสมในร่างกาย น้ำจิ้มพริกป่นล้วนแต่มีสารอันตรายต่อร่ากายทั้งนั้น ม่าม่าก็ใช้น้ำมันในการทอดเส้นที่ไม่เคยเปลี่ยนน้ำมันเลยล้วนเป็นสิ่งอันตรายต่อร่างกายทั้งสิ้น
*ดูภาพข่าวจากสถานีโทรทัศน์ต้าอ้าย มีภาพข่าวนายแพทย์บุญเรียงที่ไปทำงานอาสาสมัครที่โรงพยาบาลในประเทศไต้หวัน และได้เข้าพบท่านธรรมมาจารย์ด้วย ท่านธรรมมาจารย์บอกให้แพทย์บุญเรียงมารับกรรมการในปีนี้ และกลับมาดูแลคนไข้ให้ดีๆและมาถ่ายทอดความดีให้แพทย์สนใจและดูแลผู้ป่วยด้วยความรักมากๆ
*คุณเมตตาแจ้งปฏิทินกิจกรรมในแต่ละเดือนดังนี้
29 พฤษภาคม- 2 มิถุนายน2554 ที่กรุงเทพมีการทำขนมบะจ่างขายเพื่อหาเงินสร้างศาลาจิ้งซือ
13 – 18 กรกฎาคม 2554 มีการอบรมเข้าค่ายกรรมการที่ประเทศไต้หวัน
9 -13 สิงหาคม 2554 มีการอบรมแพทย์ทิม่าที่ไต้หวัน ( ผู้สนใจลงทะเบียน 5 มิถุนายน 2554 )
27ตุลาคม-2 พฤศจิกายน 2554 กรรมการกิตติมศักดิ์ ประชุมที่ประเทศไต้หวันเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
8 – 19 พฤศจิกายน 2554 พิธีรับกรรมการที่ปประเทศไต้หวัน
23 -28 ธันวาคม 2554อบรมค่ายเยาวชนฉือจี้ที่ไต้หวัน
**ปีนี้ไม่มีการอบรมเสื้อเทาที่ไต้หวันคุณเมตตาอาจพาไปปีนัง**
*ดูภาพกิจกรรมช่วยน้ำท่วมที่ภาคใต้ของไทยและมีการแบ่งปันความรู้สึกการทำงานเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การจัดของลงถุงบริจาคก็ต้องทำอย่างเป็นขั้นตอนมีระบบมีการผูกเชีอกสำหรับถุงที่มีของแตกต่างจากถุงอี่นๆเช่นของสำหรับเด็ก การใช้ดนตรีเปิดขณะทำงานทำให้บรรยากาศดีขึ้น การถ่ายภาพที่ดีจะสามารถเล่าเรื่องราวได้ การให้การช่วยเหลือเฉพาะหน้าต้องให้ตรงความต้องการของผู้รับเป็นสิ่งที่ควรทำและถ้ามีการมอบเงินใส่ซองต้องแจ้งให้ทราบด้วย การแต่งกายร้องเท้าบูธใช้สีอะไรก็ได้ให้เหมือนกันและเหมาะสมสะดวกต่อการปฏิบัติงาน
*ดูภาพกิจกรรมอบรมกรรมการที่กรุงเทพฯ และพาไปดูสถานที่ที่จะสร้างศาลาจิ้งซือที่สวนหลวงร.9
*ดูภาพกิจกรรมเสิร์ฟน้ำชาที่โรงพยาบาลโพธารามแบ่งปันว่าการเสิร์ฟน้ำชาเพื่อใช้เป็นสื่อในการพูดคุยกับผู้ป่วย การมอบความรักเป็นสิ่งสำคัญ ก่อนเสิร์ฟน้ำสมุนไพรให้ผู้ป่วยทุกครั้งควรมีการชิมรสก่อนมิให้หวานเกินไปและควรมีชนิดอุ่นและเย็นด้วย
*ประชุมการจัดงานวันที่ 19 มิถุนายน 2554 การทำความสะอาดบ้านป้าน้อยที่วัดโพธิ์ไพโรจน์
จะมีนักศึกษาจากราชภัฏนครปฐมมาร่วมกิจกรรม 80 ท่าน
จะประสานงานให้มารับประทานอาหารที่โพธารามไม่ต้องห่ออาหารมา
มอบหมายให้คุณกอล์ฟประสานงานเชิญคนร่วมงานและ
เชิญสื่อมาทำข่าว
อาสาสมัครโพธารามเตรียมสถานที่และอาหารอุปกรณ์ ต้องไปตั้งแต่ 07.30.น
ให้ติดต่อรถดับเพลิงเทศบาลมาบริการน้ำเวลา 11.00 น.
ผู้มาร่วมงานแจ้งยอดที่คุณนฤมล
ประสานงานให้ช่างมาดูทางระบายน้ำรอบบ้านป้าน้อยด้วย
ถ้ามีคนมามากอาจแบ่งไปทำบ้านลุงหมิกด้วย
คุณเมตตาจะนำเสื้อกั๊กมาให้ใช้ในการทำกิจกรรม 150
ตัวนำป้ายแบ่งกลุ่มและพี่เลี้ยง 10 คนไปด้วย
ก่อนเริ่มทำงานคุณป้าจูจะแนะนำวิธีอาจทำความสะอาดก่อน
*วันที่ 12 มิถุนายนอบรมกรรมการให้เอาป้ายชื่อไปด้วย
*25 มิถุนายน 54 ประชุมประจำเดือนให้คุณกอล์ฟประสานงานเรื่องเชิญผู้เข้าร่วมประชุมด้วย
*ประชุมจัดการอบรมค่ายคุณธรรมรุ่นที่ 4 ครั้งที่ 2 วันที่ 2 กรกฎาคม 2554 จะมีการแบ่งฐานในการอบรม และฝึกปฏิบัติที่บ้านป้าน้อยด้วย คุณแตง คุณนกและพี่เว้งรับผิดชอบเตรียมสถานที่และอุปกรณ์ ทีมอาสาสมัครบ้านโป่งรับผิดชอบดูแลกิจกรรมปิดตารับประทานอาหารกลางวัน การป้อนอาหารเบรคให้ผู้ปกครอง 10 คำ คุณโชติการับผิดชอบเรื่องการอบรมการแสดงละครบะหมี่ชามเดียว ให้ติดต่อทีมพี่เลี้ยงมาร่วมงาน
*งานกิจกรรมเชิดชูเกียรติสำนึกคุณจิตอาสาที่โรงพยาบาลโพธารามจะจัดขึ้นในวันที่ 27 กรกาคม 2554
รูปแบบการจัดเป็นของชาวฉือจี้มีการแสดงภาษามือเพลงโลกนี้มีความรัก ครอบครัวเดียวกันและภาษามือประกอบ การชงชาจัดดอกไม้ มีการประกาศเกียรติจิตอาสาในกลุ่มต่างๆและมอบโล่ห์ ใบประกาศฯ ให้แบ่งปันระหว่างจิตอาสาและแพทย์ที่มีความซาบซึ้งต่อกัน อาสาสมัครฉือจี้เป็นผู้จัดงานให้รับใบประกาศเฉพาะผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป
*คุณเมตตาแจ้งการจัดอบรมที่วิทยาลัยราชภัฏนครปฐมดังนี้
วันที่ 3,9 กรกฏาคม 2554 อบรมนักศึกษา 1,500 คนต้องการคนช่วยงานวิทยากร พิธีกร
วันที่ 30-31 กรกฏาคม 2554 อบรมผู้นำเยาวชน 80 คนต้องการพี่เลี้ยง
วิทยากรใครสามารถทำหน้าที่อะไรแจ้งได้ ถ้าประสบผลสำเร็จจะเกิดชมรมเยาวชนฉือจี้ที่นี่
วันที่ 17 กรกฏาคม 2554 เยี่ยมครอบครัวบุญคุณที่โพธาราม คุณเมตตาให้ชวนคนมาร่วมกิจกรรมมากๆชวนคนใหม่มาด้วย คุณนกและคุณแมวเสนอทำอย่างไรมิให้นกเข้าบ้านลุงหมิกได้ และแก้ไขเรื่องห้องน้ำบ้านป้าสมจิตรแตกร้าว ลูกสาวนางชันอ้วนผิดปกติน่าจะมีความผิดปกติของเรื่องฮอร์โมนให้พามาให้แพทย์ตรวจและชวนมาร่วมกิจกรรมด้วยให้ไปเยี่ยมเคสด้วยและรับของไปเองไม่ต้องนำไปให้ คุณสมศักดิ์สามารถเซ็นชื่อได้แล้ว อาจารย์เมตตาแนะนำให้ถ่ายวีดีโอมาด้วย คุณเมตตาให้แบ่งสายทีมคุณแตงและพี่เช้งดูแลรับผิดชอบป้าน้อย ทีมคุณนกและคุณแมวรับผิดชอบลุงหมิก คุณนกแจ้งป้ารำพรวนขอเปลี่ยนเป็นแพมเพิสร์แทนนมซึ่งเดือนนี้คุณนกจัดให้แล้วและรอเข้าไปอยู่ที่บ้านสงเคราะห์ที่เมืองกาญจน์ บ้านลุงฉาย อบต.จะมาซ่อมแซมบ้านให้
*ให้บ้านโป่งและวัดเพลงแบ่งปันวัดเพลงมีการเยี่ยมเคสโดยจิตอาสาของโรงพยาบาลอยู่แล้ว
บ้านโป่งก็ทำกิจกรรมเยี่ยมเคสโดยจิตอาสาเช่นกันและมีกิจกรรมเยาวชนมาทำกิจกรรมจิตอาสาที่โรงพยาบาลให้ไปดูผู้ป่วยแล้วมาแบ่งปันและสอนเยาวชนสนใจและจะมาเป็นจิตอาสาอีกครั้งต่อไป
*แพทย์บุญเรียงอยากให้เกิดจิตอาสาทำงานในโรงพยาบาลจำนวนมากอยากให้อสม.มาอมรม
ตอนแรกโพธารามจะจัดอบรมให้ความรู้ฉือจี้ก่อนแต่ต้องรอปรึกษาแพทย์สมบูรณ์ในตอนบ่ายก่อนแต่เมื่อปรึกษาแล้วยังไม่ได้รับข้อคิดเห็นใดๆจากแพทย์สมบูรณ์
*มติที่ประชุมเห็นว่าเมื่อผ่านการอบรมค่ายคุณธรรมวันที่ 2 กรกฏาคม 2554 แล้วควรจัดอบรมครั้งต่อไปคือวันที่ 3 กันยายน 2554 จึงจะมอบเสื้อให้สำหรับคนใหม่ที่ผ่านการอบรมครบ 2 ครั้งแล้ว
*แพทย์สมบูรณ์ปรึกษาเรื่องการทำกิจกรรมอาสาสมัครที่โรงพยาบาลควรมีการมอบหมายงานให้ชัดเจนว่าวันไหนมีใครมาบ้างและการบันทึกรายงานกิจกรรมแต่ละครั้งก็ควรหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันเพื่อที่จะได้มีการรายงานกิจกรรมทุกครั้งต้องส่งรายงานภายใน 3 วันหลังเสร็จสิ้นกิจกรรม
*แพทย์สมบูรณ์แจ้งข่าวดีว่ามีผู้ประสงค์ออกค่าใช้จ่ายในการตกแต่งสำนักงานฉือจี้ของโพธารามให้รีบดำเนินการได้และมีผู้ใจบุญบริจาคบอร์ดสำหรับประชาสัมพันธ์กิจกรรมของฉือจี้ที่บริเวณข้างๆร้านโพธารามสโตร์ซึ่งแพทย์สมบูรณ์จะพาคณะไปดูเมื่อเลิกการประชุมแล้ว
ปิดประชุมเวลา 16.30 น.
บันทึกการประชุมผูถีฮูอ้ายราชบุรี
วันที่ 28 พฤษภาคม 2554 เวลา 8.30 น – 17.00
น ห้องประชุมพงษธา อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลโพธาราม
ผู้ร่วมประชุมทั้งหมด 27 ท่าน
กรรมการจากกรุงเทพ 5 ท่าน คือ คุณเมตตา อาจารย์สุชน ป้าชู คุณบุญประกอบและอาหมิง
อาสาสมัครโพธาราม 13 ท่านคือ แพทย์สมบูรณ์ คุณนก คุณแมว พี่สายหยุด
พี่สำเนียง พี่นิตยา พี่ขวัญตา พี่เว้ง พี่เง็ง ป้ากัลยา ป้าสุนี น้าทวี และคุณแตง
จากสสจ.ราชบุรี 2 ท่านคือนายแพทย์บุญเรียง คุณกอล์ฟ
วัดเพลง 2 ท่าน
บ้านโป่ง 5 ท่าน
ผู้บันทึกการประชุม น.ส.สุพัตรา แตงฮ้อ ( คุณแตง)
ผู้ถ่ายภาพ นายวีระชัย ทาบุญสม (อาหมิง)
----------------------------------------------
*เริ่มประชุมโดยการไหว้พระ ร้องเพลงมาร์ชฉือจี้ กล่าวศีล สิบ
*แล้วฟังท่านธรรมมาจารย์เทศน์ เรื่องอาหารและเครื่องดื่มที่วางขายในร้านสะดวกซื้อที่ประเทศไต้หวั่นมีการตรวจพบมีสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกายหลายชนิดซึ่งเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะเกิดโทษ ดังนั้นเราควรหลีกเลี่ยง การทำอาหารรับประทานเองที่บ้านจะปลอดภัยกว่า น้ำดื่มก็ควรนำไปจากบ้านก็จะดีกว่าสะอาดกว่าอาจนำมาต้มให้สะอาดก่อน คนเราต้องรู้จักรักและถนอมร่างกายของเราเพื่อทำประโยชน์ทำความดีต่อโลกและมวลมนุษย์ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์รสจืดจะดีต่อสุขภาพ เราต้องรู้จักใช้ชีวิตที่แสนสั้นนี้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น มักมีคนพูดว่ารอให้รวยก่อนค่อยช่วยเหลือผู้อื่นนี้คือความโลภเพราะคนเราส่วนมากมักจะคิดว่าได้หรือมีอยู่แค่หนึ่งยังขาดอีกตั้ง เก้า เสมอแล้วเมื่อไหร่ที่จะบอกว่าตนเองรวย การได้รวบรวมทรัพย์คนละเล็กคนละน้อยเพื่อช่วยเหลือคนอื่นได้ถือเป็นเรื่องดี การรับประทานอาหารแต่ละมื้อให้ทานแค่ พออิ่ม 70-80 % ก็พอ เก็บที่เหลือไว้ช่วยเหลือผู้อื่นการรู้จักประหยัดกินประหยัดใช้เปรียบเสมือนการปฎิบัติธรรมการให้ทานทำให้จิตใจเปรียบเสมือนยิ่งรวย คนที่ไม่ค่อยมีทรัพย์แต่รู้จักให้ความรักแก่ผู้อื่นก็จะรวยความรักรวยน้ำใจจิตใจก็จะดี การทำความดีเป็นการตอบแทนคุณพ่อแม่และพระแม่ธรณีด้วย ก่อนเทศน์จบท่านธรรมมาจารย์อวยพรให้ทุกคนปลอดภัย
*คุณเมตตาแบ่งปันเรื่องการซื้ออาหารใส่ถุงพลาสติกเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้ง่ายเพราะสารที่ใช้ผลิตถุงเมื่อถูกความร้อนก็จะออกมาในอาหารเมื่อรับประทานอาหารก็ได้รับสารพิษเข้าไปสะสมในร่างกาย น้ำจิ้มพริกป่นล้วนแต่มีสารอันตรายต่อร่ากายทั้งนั้น ม่าม่าก็ใช้น้ำมันในการทอดเส้นที่ไม่เคยเปลี่ยนน้ำมันเลยล้วนเป็นสิ่งอันตรายต่อร่างกายทั้งสิ้น
*ดูภาพข่าวจากสถานีโทรทัศน์ต้าอ้าย มีภาพข่าวนายแพทย์บุญเรียงที่ไปทำงานอาสาสมัครที่โรงพยาบาลในประเทศไต้หวัน และได้เข้าพบท่านธรรมมาจารย์ด้วย ท่านธรรมมาจารย์บอกให้แพทย์บุญเรียงมารับกรรมการในปีนี้ และกลับมาดูแลคนไข้ให้ดีๆและมาถ่ายทอดความดีให้แพทย์สนใจและดูแลผู้ป่วยด้วยความรักมากๆ
*คุณเมตตาแจ้งปฏิทินกิจกรรมในแต่ละเดือนดังนี้
29 พฤษภาคม- 2 มิถุนายน2554 ที่กรุงเทพมีการทำขนมบะจ่างขายเพื่อหาเงินสร้างศาลาจิ้งซือ
13 – 18 กรกฎาคม 2554 มีการอบรมเข้าค่ายกรรมการที่ประเทศไต้หวัน
9 -13 สิงหาคม 2554 มีการอบรมแพทย์ทิม่าที่ไต้หวัน ( ผู้สนใจลงทะเบียน 5 มิถุนายน 2554 )
27ตุลาคม-2 พฤศจิกายน 2554 กรรมการกิตติมศักดิ์ ประชุมที่ประเทศไต้หวันเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
8 – 19 พฤศจิกายน 2554 พิธีรับกรรมการที่ปประเทศไต้หวัน
23 -28 ธันวาคม 2554อบรมค่ายเยาวชนฉือจี้ที่ไต้หวัน
**ปีนี้ไม่มีการอบรมเสื้อเทาที่ไต้หวันคุณเมตตาอาจพาไปปีนัง**
*ดูภาพกิจกรรมช่วยน้ำท่วมที่ภาคใต้ของไทยและมีการแบ่งปันความรู้สึกการทำงานเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การจัดของลงถุงบริจาคก็ต้องทำอย่างเป็นขั้นตอนมีระบบมีการผูกเชีอกสำหรับถุงที่มีของแตกต่างจากถุงอี่นๆเช่นของสำหรับเด็ก การใช้ดนตรีเปิดขณะทำงานทำให้บรรยากาศดีขึ้น การถ่ายภาพที่ดีจะสามารถเล่าเรื่องราวได้ การให้การช่วยเหลือเฉพาะหน้าต้องให้ตรงความต้องการของผู้รับเป็นสิ่งที่ควรทำและถ้ามีการมอบเงินใส่ซองต้องแจ้งให้ทราบด้วย การแต่งกายร้องเท้าบูธใช้สีอะไรก็ได้ให้เหมือนกันและเหมาะสมสะดวกต่อการปฏิบัติงาน
*ดูภาพกิจกรรมอบรมกรรมการที่กรุงเทพฯ และพาไปดูสถานที่ที่จะสร้างศาลาจิ้งซือที่สวนหลวงร.9
*ดูภาพกิจกรรมเสิร์ฟน้ำชาที่โรงพยาบาลโพธารามแบ่งปันว่าการเสิร์ฟน้ำชาเพื่อใช้เป็นสื่อในการพูดคุยกับผู้ป่วย การมอบความรักเป็นสิ่งสำคัญ ก่อนเสิร์ฟน้ำสมุนไพรให้ผู้ป่วยทุกครั้งควรมีการชิมรสก่อนมิให้หวานเกินไปและควรมีชนิดอุ่นและเย็นด้วย
*ประชุมการจัดงานวันที่ 19 มิถุนายน 2554 การทำความสะอาดบ้านป้าน้อยที่วัดโพธิ์ไพโรจน์
จะมีนักศึกษาจากราชภัฏนครปฐมมาร่วมกิจกรรม 80 ท่าน
จะประสานงานให้มารับประทานอาหารที่โพธารามไม่ต้องห่ออาหารมา
มอบหมายให้คุณกอล์ฟประสานงานเชิญคนร่วมงานและ
เชิญสื่อมาทำข่าว
อาสาสมัครโพธารามเตรียมสถานที่และอาหารอุปกรณ์ ต้องไปตั้งแต่ 07.30.น
ให้ติดต่อรถดับเพลิงเทศบาลมาบริการน้ำเวลา 11.00 น.
ผู้มาร่วมงานแจ้งยอดที่คุณนฤมล
ประสานงานให้ช่างมาดูทางระบายน้ำรอบบ้านป้าน้อยด้วย
ถ้ามีคนมามากอาจแบ่งไปทำบ้านลุงหมิกด้วย
คุณเมตตาจะนำเสื้อกั๊กมาให้ใช้ในการทำกิจกรรม 150
ตัวนำป้ายแบ่งกลุ่มและพี่เลี้ยง 10 คนไปด้วย
ก่อนเริ่มทำงานคุณป้าจูจะแนะนำวิธีอาจทำความสะอาดก่อน
*วันที่ 12 มิถุนายนอบรมกรรมการให้เอาป้ายชื่อไปด้วย
*25 มิถุนายน 54 ประชุมประจำเดือนให้คุณกอล์ฟประสานงานเรื่องเชิญผู้เข้าร่วมประชุมด้วย
*ประชุมจัดการอบรมค่ายคุณธรรมรุ่นที่ 4 ครั้งที่ 2 วันที่ 2 กรกฎาคม 2554 จะมีการแบ่งฐานในการอบรม และฝึกปฏิบัติที่บ้านป้าน้อยด้วย คุณแตง คุณนกและพี่เว้งรับผิดชอบเตรียมสถานที่และอุปกรณ์ ทีมอาสาสมัครบ้านโป่งรับผิดชอบดูแลกิจกรรมปิดตารับประทานอาหารกลางวัน การป้อนอาหารเบรคให้ผู้ปกครอง 10 คำ คุณโชติการับผิดชอบเรื่องการอบรมการแสดงละครบะหมี่ชามเดียว ให้ติดต่อทีมพี่เลี้ยงมาร่วมงาน
*งานกิจกรรมเชิดชูเกียรติสำนึกคุณจิตอาสาที่โรงพยาบาลโพธารามจะจัดขึ้นในวันที่ 27 กรกาคม 2554
รูปแบบการจัดเป็นของชาวฉือจี้มีการแสดงภาษามือเพลงโลกนี้มีความรัก ครอบครัวเดียวกันและภาษามือประกอบ การชงชาจัดดอกไม้ มีการประกาศเกียรติจิตอาสาในกลุ่มต่างๆและมอบโล่ห์ ใบประกาศฯ ให้แบ่งปันระหว่างจิตอาสาและแพทย์ที่มีความซาบซึ้งต่อกัน อาสาสมัครฉือจี้เป็นผู้จัดงานให้รับใบประกาศเฉพาะผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป
*คุณเมตตาแจ้งการจัดอบรมที่วิทยาลัยราชภัฏนครปฐมดังนี้
วันที่ 3,9 กรกฏาคม 2554 อบรมนักศึกษา 1,500 คนต้องการคนช่วยงานวิทยากร พิธีกร
วันที่ 30-31 กรกฏาคม 2554 อบรมผู้นำเยาวชน 80 คนต้องการพี่เลี้ยง
วิทยากรใครสามารถทำหน้าที่อะไรแจ้งได้ ถ้าประสบผลสำเร็จจะเกิดชมรมเยาวชนฉือจี้ที่นี่
วันที่ 17 กรกฏาคม 2554 เยี่ยมครอบครัวบุญคุณที่โพธาราม คุณเมตตาให้ชวนคนมาร่วมกิจกรรมมากๆชวนคนใหม่มาด้วย คุณนกและคุณแมวเสนอทำอย่างไรมิให้นกเข้าบ้านลุงหมิกได้ และแก้ไขเรื่องห้องน้ำบ้านป้าสมจิตรแตกร้าว ลูกสาวนางชันอ้วนผิดปกติน่าจะมีความผิดปกติของเรื่องฮอร์โมนให้พามาให้แพทย์ตรวจและชวนมาร่วมกิจกรรมด้วยให้ไปเยี่ยมเคสด้วยและรับของไปเองไม่ต้องนำไปให้ คุณสมศักดิ์สามารถเซ็นชื่อได้แล้ว อาจารย์เมตตาแนะนำให้ถ่ายวีดีโอมาด้วย คุณเมตตาให้แบ่งสายทีมคุณแตงและพี่เช้งดูแลรับผิดชอบป้าน้อย ทีมคุณนกและคุณแมวรับผิดชอบลุงหมิก คุณนกแจ้งป้ารำพรวนขอเปลี่ยนเป็นแพมเพิสร์แทนนมซึ่งเดือนนี้คุณนกจัดให้แล้วและรอเข้าไปอยู่ที่บ้านสงเคราะห์ที่เมืองกาญจน์ บ้านลุงฉาย อบต.จะมาซ่อมแซมบ้านให้
*ให้บ้านโป่งและวัดเพลงแบ่งปันวัดเพลงมีการเยี่ยมเคสโดยจิตอาสาของโรงพยาบาลอยู่แล้ว
บ้านโป่งก็ทำกิจกรรมเยี่ยมเคสโดยจิตอาสาเช่นกันและมีกิจกรรมเยาวชนมาทำกิจกรรมจิตอาสาที่โรงพยาบาลให้ไปดูผู้ป่วยแล้วมาแบ่งปันและสอนเยาวชนสนใจและจะมาเป็นจิตอาสาอีกครั้งต่อไป
*แพทย์บุญเรียงอยากให้เกิดจิตอาสาทำงานในโรงพยาบาลจำนวนมากอยากให้อสม.มาอมรม
ตอนแรกโพธารามจะจัดอบรมให้ความรู้ฉือจี้ก่อนแต่ต้องรอปรึกษาแพทย์สมบูรณ์ในตอนบ่ายก่อนแต่เมื่อปรึกษาแล้วยังไม่ได้รับข้อคิดเห็นใดๆจากแพทย์สมบูรณ์
*มติที่ประชุมเห็นว่าเมื่อผ่านการอบรมค่ายคุณธรรมวันที่ 2 กรกฏาคม 2554 แล้วควรจัดอบรมครั้งต่อไปคือวันที่ 3 กันยายน 2554 จึงจะมอบเสื้อให้สำหรับคนใหม่ที่ผ่านการอบรมครบ 2 ครั้งแล้ว
*แพทย์สมบูรณ์ปรึกษาเรื่องการทำกิจกรรมอาสาสมัครที่โรงพยาบาลควรมีการมอบหมายงานให้ชัดเจนว่าวันไหนมีใครมาบ้างและการบันทึกรายงานกิจกรรมแต่ละครั้งก็ควรหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันเพื่อที่จะได้มีการรายงานกิจกรรมทุกครั้งต้องส่งรายงานภายใน 3 วันหลังเสร็จสิ้นกิจกรรม
*แพทย์สมบูรณ์แจ้งข่าวดีว่ามีผู้ประสงค์ออกค่าใช้จ่ายในการตกแต่งสำนักงานฉือจี้ของโพธารามให้รีบดำเนินการได้และมีผู้ใจบุญบริจาคบอร์ดสำหรับประชาสัมพันธ์กิจกรรมของฉือจี้ที่บริเวณข้างๆร้านโพธารามสโตร์ซึ่งแพทย์สมบูรณ์จะพาคณะไปดูเมื่อเลิกการประชุมแล้ว
ปิดประชุมเวลา 16.30 น.
วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
เพลง ใบหน้าที่มีความสุข ซิ่ง ฝู เตอะ เหลี่ยน
เพลงนี้ไม่ทราบว่าใครแต่ง มีความหมายดีมาก
ทำนองสนุกสนาน ผมไปไต้หวันครั้งหลังสุด ธค 2553
มีการแสดงภาษามือบนเวที สนุกสนานมาก
คนฟังก็มีส่วนร่วมมาก เพลงนี้ ก็ให้เรียนภาษาจีนพร้อมกันไปด้วย
ก็จะเหมือน ยิงนกทีเดียวได้หลายตัว (เอ ยิงนก ไม่ดี บาป)
*******************************************
เพลง ใบหน้าที่มีความสุข ซิ่ง ฝู เตอะ เหลี่ยน
Xing fu de lian
*******************************************
(1)
ซิ่งฝู โหย่ว เหม่ย โหย่ว ไจ้ หว่อ เซิน เปียน
Xing fu you mei you zai wo shen bian
ความสุขนั้น อยู่ข้างฉันหรือเปล่า
เจิม มอ อี้ จื่อ คั่น ปู๋ เจี่ยน
Zen me yi zhi kan bu jian
ทำไม ไม่เห็นสักที
-----------------------------------------------------------------------
(2)
ซิ่งฝู โหย่ว เหม่ย โหย่ว ไจ้ หนี่ น่า เปียน
ความสุขนั้นอยู่ข้างเธอหรือเปล่า
ร่าง หว่อ คั่น คั่น ทา เตอะ เหลี่ยน
ให้ฉันได้เห็นหน่อยซิ
------------------------------------------------------------------------
(3)
เจีย หลี่ อี่ จิง จ่าว เลอ เฮ่า ตั๊ว เปี้ยน
ในบ้านหากันหลายตลบ
จื่อ โหย่ว เวิน หน่วน เตอะ ฝาง เจียน
มีอยู่แต่บ้านที่อุ่นไอ
--------------------------------------------------------------------------------------
(4)
ป้าปา ซัว ซิ่ง ฝู จิ้ว ไจ้ จิ้ง จึ หลี่
ป้าปาบอกความสุขอยู่ในกระจก
น่า จิ้ว ซื่อ หว่อ ไคว้ เล่อ เตอะ เหลี่ยน
นั้นคือหน้าฉันที่มีความสุข
-----------------------------------------------------------------------------------------
(5)
ครูฉันบอกว่าถ้าอยากให้น้อยลงหน่อย
ความสุขจะเพิ่มขึ้นมากมี
-----------------------------------------------------------------------------------------
(6)
รักโลกรักสิ่งที่เราใช้ประโยชน์
จำจดเอาไว้ในจิตใจ
-----------------------------------------------------------------------------------------
(7)
เมตตามารยาทจากสายตาฉัน
เห็นหน้าทุกคนมีความสุข
-------------------------------------------------------------------------------------------
ทำนองสนุกสนาน ผมไปไต้หวันครั้งหลังสุด ธค 2553
มีการแสดงภาษามือบนเวที สนุกสนานมาก
คนฟังก็มีส่วนร่วมมาก เพลงนี้ ก็ให้เรียนภาษาจีนพร้อมกันไปด้วย
ก็จะเหมือน ยิงนกทีเดียวได้หลายตัว (เอ ยิงนก ไม่ดี บาป)
*******************************************
เพลง ใบหน้าที่มีความสุข ซิ่ง ฝู เตอะ เหลี่ยน
Xing fu de lian
*******************************************
(1)
ซิ่งฝู โหย่ว เหม่ย โหย่ว ไจ้ หว่อ เซิน เปียน
Xing fu you mei you zai wo shen bian
ความสุขนั้น อยู่ข้างฉันหรือเปล่า
เจิม มอ อี้ จื่อ คั่น ปู๋ เจี่ยน
Zen me yi zhi kan bu jian
ทำไม ไม่เห็นสักที
-----------------------------------------------------------------------
(2)
ซิ่งฝู โหย่ว เหม่ย โหย่ว ไจ้ หนี่ น่า เปียน
ความสุขนั้นอยู่ข้างเธอหรือเปล่า
ร่าง หว่อ คั่น คั่น ทา เตอะ เหลี่ยน
ให้ฉันได้เห็นหน่อยซิ
------------------------------------------------------------------------
(3)
เจีย หลี่ อี่ จิง จ่าว เลอ เฮ่า ตั๊ว เปี้ยน
ในบ้านหากันหลายตลบ
จื่อ โหย่ว เวิน หน่วน เตอะ ฝาง เจียน
มีอยู่แต่บ้านที่อุ่นไอ
--------------------------------------------------------------------------------------
(4)
ป้าปา ซัว ซิ่ง ฝู จิ้ว ไจ้ จิ้ง จึ หลี่
ป้าปาบอกความสุขอยู่ในกระจก
น่า จิ้ว ซื่อ หว่อ ไคว้ เล่อ เตอะ เหลี่ยน
นั้นคือหน้าฉันที่มีความสุข
-----------------------------------------------------------------------------------------
(5)
ครูฉันบอกว่าถ้าอยากให้น้อยลงหน่อย
ความสุขจะเพิ่มขึ้นมากมี
-----------------------------------------------------------------------------------------
(6)
รักโลกรักสิ่งที่เราใช้ประโยชน์
จำจดเอาไว้ในจิตใจ
-----------------------------------------------------------------------------------------
(7)
เมตตามารยาทจากสายตาฉัน
เห็นหน้าทุกคนมีความสุข
-------------------------------------------------------------------------------------------
ป้ายกำกับ:
เพลงฉือจี้,
ภาษาจีน,
วัฒนธรรมฉือจี้
การอบรมอาสาสมัครฉือจี้ ระดับนักศึกษามหาวิทยาลัย ครั้งแรก ในประเทศไทย
กิจกรรมค่ายอบรมแกนนำนักศึกษาจิตอาสาตามแนวพุทธฉือจี้
ระหว่าง วันที่ 21 – 23 เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช 2554
(เวลา 08.00 – 16.30 น.)
ณ ห้องกิตติ ลิ่มอภิชาต คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
จัดโดย มูลนิธิพุทธฉือจี้ ไต้หวันในประเทศไทย โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ และ
งานกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
อาสาสมัคร : อาสาสมัครกรุงเทพ จำนวน 6 คน
อาสาสมัครหาดใหญ่ จำนวน 24 คน
อาสาสมัครภูเก็ต จำนวน 2 คน
อาสาสมัคตรัง จำนวน 2 คน
เจ้าหน้าที่มูลนิธิฉือจี้ : เล็ก บอล
บันทึกกิจกรรม : เล็ก
…………………………………………
วันศุกร์ ที่ 20 พฤษภาคม 2554
อาสาสมัครได้เดินทางมาถึงมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยได้รับการต้อนรับจากอาสาสมัครฉือจี้หาดใหญ่ อาสาสมัครฉือจี้ที่ได้มาร่วมกันจัดกิจกรรมค่ายอบรมแกนนำนักศึกษาจิตอาสาตามแนวพุทธฉือจี้ครั้งนี้ได้แก่ อาสาสมัครกรุงเทพมหานคร อาสาสมัครภูเก็ต อาสาสมัครตรัง และอาสาสมัครหาดใหญ่ จำนวน 34 คน อาสาสมัครได้ร่วมกันประชุมปรึกษาวางแผนงานกิจกรรมค่ายอบรมในครั้งนี้ อาสาสมัครแต่ละท่านต่างได้รับมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบซึ่งทุกท่านรับผิดชอบหน้าที่ตามมความถนัดและความเหมาะสมของแต่ละกิจกรรมตลอดระยะเวลา 3 วันในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ จากนั้นอาสาสมัครได้ช่วยกันจัดสถานที่จัดกิจกรรม และจัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ จากนั้นอาสาสมัครได้รวมตัวกันเพื่อฝึกซ้อมการแสดงละครห้วงเวลากระปุกออมบุญ เพื่อให้การถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมา การก่อกำเนิดมูลนิธิพุทธฉือจี้เป็นไปด้วยความสมบูรณ์ที่สุด อาสาสมัครทุกท่านต่างตั้งใจฝึกซ้อมละครในครั้งนี้ อาสาสมัครแต่ละท่านมีความตั้งใจและตื่นเต้นกับกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
……………………………………………….
หลักการและเหตุผลกิจกรรมค่ายอบรมแกนนำนักศึกษาจิตอาสาตามแนวพุทธฉือจี้
ปัจจุบันมูลนิธิพุทธฉือจี้ในประเทศไต้หวัน เป็นแหล่งที่คนไทยคณะต่างๆ เดินทางไปแสวงบุญ เพื่อสร้าจิตสำนึกใหม่บนเส้นทางแห่งความดี โดยผ่านการจัดกิจกรรมที่ปลูกฝังคุณธรรมให้เห็นผลชัดเจนเป็นรูปธรรมแบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง (active learning) ซึ่งสามารถปฏิบัติได้ทุกศาสนา ทำให้เยาวชนได้คิด ได้ทำและมีส่วนร่วม โดยวิถีธรรมอยู่ในวิถีชีวิตทุกอิริยาบถในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการช่วยเหลือและลดปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมที่กำลังเป็นวิกฤตของประเทศไทยและของโลกปัจจุบัน คณะผู้จัดอบรมได้เห็นความสำคัญของการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมและจิตอาสาของนักศึกษาในมหาวิทยาลัย และการสร้างจิตสำนึกใหม่ตามแนวปฏิบัติของมูลนิธิพุทธฉือจี้โดยจิตสำนึกใหม่ (new consciousness) เป็นความรู้สึกนึกคิดที่มีปริมณฑลที่กว้างขวางหมายถึง การเปลี่ยนแปลงระดับขั้นพื้นฐานของจิตใจ จิตวิญญาณ จากจิตเล็กไปสู่จิตใหญ่ จากความคับแคบของตัวเองไปสู่จิตที่เชื่อมโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชีวิตและธรรมชาติ เข้าถึงความเป็นทั้งหมดหรือเป็นหนึ่งเดียวของธรรมชาติ หลุดพ้นจากความบีบคั้น ความคับแคบเป็นอิสระ มีความสุข เกิดมิตรภาพอันไพศาล รักเพื่อนมนุษย์ รักธรรมชาติทั้งหมด และเข้าใจคน มองคนเป็นองค์รวมที่ประกอบด้วยมิติทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ จิตวิวัฒน์ทำให้การอยู่ร่วมกันของมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับธรรมชาติมีได้อย่างสันติ ทำให้มนุษย์เห็นคุณค่าของคนรอบข้าง เห็นความงามของทุกสิ่งรอบตัว ก้าวข้ามความคิดคับแคบที่เคยมองโลกนำไปสู่การแก้วิกฤตต่างๆ ที่โลกเผชิญ โดยอยู่บนพื้นฐานของความรักและความเคารพกันและกันทั้งกับเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติ การสร้างขบวนการเรียนรู้ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในนำไปสู่จิตสำนึกใหม่โดยผ่านกิจกรรมการเจริญสติ เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการมีจิตวิวัฒน์ที่มีจิตใจดีงาม มีจิตอาสาช่วยเหลือสังคม กระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์และเกื้อกูลต่อโลก คณะผู้จัดอบรมจึงสนใจอบรมคุณธรรมจริยธรรมและจิตอาสาของมูลนิธิพุทธฉือจี้ให้กับนักศึกษาแกนนำ
วัตถุประสงค์
1. เพื่อให้นักศึกษาได้มีความรู้ และทักษะ การเป็นจิตอาสาตามแนวทางมูลนิธิพุทธฉือจี้ และเป็นแกนนำในด้านจิตอาสาสำหรับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
2. เพื่อให้ได้ฝึกปฏิบัติ และสามารถปฏิบัติงานด้านจิตอาสาในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
………………………………………...
วันเสาร์ ที่ 21 พฤษภาคม 2554
กิจกรรมค่ายอบรมแกนนำนักศึกษาจิตอาสาตามแนวพุทธฉือจี้ได้รับความสนใจจากนักเรียนนักศึกษาและเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ทั้งหมด 36 คน ได้แก่
-คณะศิลปศาสตร์ จำนวน 2 คน
-คณะนิติศาตร์ จำนวน 1 คน
-คณะแพทย์แผนไทย จำนวน 3 คน
-คณะเทคนิคการแพทย์ จำนวน 12 คน
-คณะแพทย์ศาสตร์ จำนวน 2 คน
-คณะวิทยาการจัดการ จำนวน 1 คน
-คณะวิทยาศาตร์ จำนวน 1 คน
-เจ้าหน้าที่โครงการบัณฑิตอาสา จำนวน 1 คน
-เจ้าหน้าที่งานสิทธิประโยชน์ผู้ป่วย จำนวน 3 คน
-วิทยาลัยการอาชีพเบตง จ.ยะลา จำนวน 1 คน
-นักศึกษาแลกเปลี่ยนสัญชาติฮ่องกง จำนวน 1 คน
-นักศึกษาแลกเปลี่ยนสัญชาติเกาหลี จำนวน 1 คน
-นักเรียนจากโรงเรียนสังกัดอบต.ท่าข้าม จำนวน 5 คน
-สมาคมจิตอาสา (VSA Thailand) จำนวน 2 คน
ผู้เข้ารับการอบรมเดินทางมาถึงห้องประชุม ต่างทยอยลงทะเบียนเพื่อรับแฟ้มกิจกรรมค่ายอบรม โดยมีอาสาสมัครให้การต้อนรับด้วยความรัก
ก่อนพิธีเปิดค่ายอบรมแกนนำนักศึกษาจิตอาสาตามแนวพุทธฉือจี้อย่างเป็นทางการ คุณผงโชวอี้ได้แนะนำวัฒนธรรมจริยธรรมฉือจี้ “วิถีชา วิถีชีวิต” โดยมีคุณเฉียชินแสดงภาษามือประกอบการแสดง เพื่อเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมการชงชาแก่ผู้เข้าอบรม เพื่อให้ทุกท่านได้เรียนรู้ชีวิตโดยใช้การชงชาเป็นสื่อการเรียนรู้ เพื่อให้ทุกท่านได้เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องมารยาท ความกตัญญู ความดีงาม ได้นำหลักคำสอนต่างๆไปปรับใช้และเผยแพร่ต่อไป
กิจกรรมค่ายอบรมในวันนี้ได้รับเกียรติจากรองศาสตราจารย์นายแพทย์สุธรรม ปิ่นเจริญ รองอธิการบดีคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นผู้กล่าวเปิดค่ายอบรมครั้งนี้ นายแพทย์
สุธรรม กล่าวว่า “รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มาร่วมพิธีเปิดการอบรมในวันนี้ ได้เห็นกลุ่มเยาวชนและนักศึกษาให้ความสำคัญและสนใจการเป็นจิตอาสา เพื่อมาดูแลช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เป็นแกนหลักให้กับเพื่อนๆที่มีจิตอาสาด้วยกัน ไม่เพียงแต่การเติมเต็มปัจจัยภายนอกด้านการดำเนินชีวิต แต่ยังได้เติมเต็มชองว่างทางจิตใจ เริ่มต้นด้วยการสร้างสรรค์จิตใจอันดีงามของตนเอง หลายคนได้นำวาทะธรรมของท่านธรรมาจารย์เจิ้งเอิ๋ยนมาใช้ในการดำเนินชีวิตและช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความทุกข์ยาก การรักษาพยาบาล การช่วยเหลือภัยพิบัติต่างแดน ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสภาวะโลกร้อน”
ทญ.ฉลอง เอื้องสุวรรณ ได้กล่าวรายงานค่ายอบรมแกนนำนักศึกษาจิตอาสาว่า “การจัดอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ เพื่อสร้างจิตสำนึกใหม่บนเส้นทางแห่งความดี ผ่านการจัดกิจกรรมที่ปลูกฝังคุณธรรมให้เห็นผลชัดเจนเป็นรูปธรรมแบบเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้เยาวชนได้คิด ได้ทำ และมีส่วนร่วม เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับขั้นพื้นฐานของจิตใจจิตวิญญาณจากจิตเล็กไปสู่จิตใหญ่ จากความคับแคบของตัวเองไปสู่จิตที่เชื่อมโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชีวิตและธรรมชาติ มองคนเป็นองค์รวมที่ประกอบด้วยมิติทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ”
จากนั้นคุณผงโชวอี้ เป็นตัวแทนอาสาสมัครมูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวันในประเทศไทย ได้ให้ข้อคิดแก่เยาวชนผู้เข้ารับการอบรมว่า “ขอให้เยาวชนทุกคนตั้งใจและเก็บเกี่ยวความรู้ที่ได้จากการอบรมครั้งนี้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันของตนเองและนำไปเผยแพร่แก่คนรอบข้างต่อไป”
วัฒนธรรมฉือจี้ การแสดงภาษามือเพลงโลกนี้มีความรัก เพื่อเป็นถ่ายทอดการมอบความรักให้แก่คนทั่วโลก สร้างความประทับใจแก่เยาวชนทุกท่าน
เพื่อให้นักศึกษาทุกท่านได้ทำความรู้จัก คุ้นเคย สนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น คุณหมอฉลองได้ให้นักศึกษาร่วมกิจกรรม รู้ใจ รู้จัก ก่อนเริ่มกิจกรรมให้ทุกคนนั่งสมาธิ หายใจเข้า-ออกเพื่อผ่อนคลาย แล้วให้นึกย้อนระลึกถึงอดีตที่ผ่านมาเมื่อสมัยวัยเยาว์ จากนั้นทุกคนจับคู่เพื่อนเพื่อร่วมแลกเปลี่ยนเรื่องราวสมัยวัยเยาว์เพื่อให้เพื่อนรับฟังเรื่องราวของตน เป็นการให้ทุกคนเรียนการเป็นผู้พูดและผู้ฟังที่ดี
นอกจากนี้นักศึกษาได้ร่วมกันเล่นเกมจับคู่บัดดี้ โดยแต่ละคนจะมีเพื่อนที่คอยดูแล ให้กำลังใจ โดยแต่ละคนจะได้รับข้อความให้กำลังใจใส่ซองจดหมายไว้บนกระดานหัวข้อ “หว่านต้นรักแห่งหัวใจ”เป็นการสร้างมิตรสัมพันธ์ระหว่างกัน
เรื่องราวประวัติความเป็นมาและภารกิจของฉือจี้ คุณบุญประกอบรับหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราว และเพื่อให้เยาวชนเรื่องราวมากยิ่งขึ้น อาสาสมัครได้แสดงละครเรื่อง ห้วงเวลากระบอกไม้ไผ่ เป็นการบอกเล่าต้นกำเนิดของมูลนิธิฉือจี้อย่างแท้จริง ทำให้ทุกท่านเมื่อได้รับชมละครแล้วเข้าใจเรื่องราวฉือจี้มากขึ้น และยินดีร่วมบริจาคเงินใส่กระปุกออมบุญ เพื่อทำความดีกับชาวฉือจี้ต่อไป
คุณสุชนได้ร่วมแบ่งปันงานมหาปณิธานนสี่ของฉือจี้ และได้เล่าเรื่องราวการให้ความช่วยเหลือครอบครัวผู้มีพระคุณ โดยยกตัวอย่างเคสคุณสุภานีซึ่งเป็นเคสที่มูลนิธิให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง แม้ว่าคุณสุภานีจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ปัจจุบันมูลนิธิก็ยังให้ความช่วยเหลือดูแลและแม่และลูกๆของคุณสุภานีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ครอบครัวนี้ซาบซึ้งในน้ำใจชาวฉือจี้เป็นอย่างยิ่ง นักศึกษาเมื่อได้รับชม VCR เรื่องราวคุณสุภานีทุกคนรู้สึกเสียใจกับครอบครัวนี้เป็นอย่างมาก และได้เรียนรู้การใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น
การอบรมในภาคเช้านักศึกษาได้เข้าใจเรื่องราวมูลนิธิฉือจี้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ทุกคนจดจำเรื่องราวได้ดียิ่งขึ้นอาสามัครได้ให้ทุกคนทำกิจกรรมวาดภาพ โดยแบ่งกลุ่มเป็น 5 กลุ่ม และให้ทุกคนช่วยกันวาดภาพสิ่งที่ตัวเองได้รับจากการอบรมในช่วงเช้าทั้งหมด ซึ่งนักศึกษาแต่ละคนต่างร่วมแรงร่วมใจกันวาดภาพถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างสวยงามแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของทุกคน และแสดงออกถึงความสมานไมตรีของนักศึกษา
กิจกรรมช่วงบ่าย อาสาสมัครได้สอนวัฒนธรรมการแสดงภาษามือ เพลงครอบครัวเดียวกัน เพื่อให้นักศึกษาได้ร่วมฝึกซ้อมเพื่อจะได้แสดงท่าทางได้อย่างสวนงาม เพราะช่วงบ่ายกิจกรรมเยี่ยมผู้ป่วยนักศึกษาจะได้ร่วมกันแสดงภาษามือให้ผู้ป่วยได้ชม
อาสาสมัครได้จำลองเหตุการณ์การไปเยี่ยมเยียนผู้ป่วยแบบชาวฉือจี้ ให้ได้เห็นถึงวิธีการแสดงออกต่อครอบครัวบุญคุณ มารยาท การพูดการจา และการให้กำลังใจแก่ผู้ป่วย
กิจกรรมเยี่ยมหอผู้ป่วย อาสาสมัครได้พานักศึกษาเดินทางมายังอาคารเย็นศิระ บริเวณวัดโคกนาว อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อพูดคุยให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยซึ่งมาพักอาศัยที่บ้านพักชั่วคราว อาคารเย็นศิระเป็นสถานที่พักสำหรับผู้ป่วยทั่วภาคใต้ซึ่งต้องมารับการรักษาที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์แต่เนื่องจากระยะเวลาในการเดินทางต้องใช้เวลานานประกอบกับผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาเป็นระยะเวลานาน จึงได้มาพักชั่วคราวที่อาคารเย็นศิระ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มาพักที่อาคารเย็นศิระ เข้ารับการรักษาด้วยโรคมะเร็ง โรคอัมพฤต อัมภาต นักศึกษาได้แบ่งกลุ่มเข้าไปเยี่ยมพูดคุย ให้กำลังใจ มอบของเยี่ยมแก่ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย นอกจากนี้ยังได้เขียนขอความให้กำลังใจและร่วมกันแสดงภาษามือเพื่อสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วยมีรอยยิ้มและมีพลังแรงใจต่อสู้กับโรคภัยต่อไป
กิจกรรมตลอดทั้งวันนี้ทำให้นักศึกษาได้เรียนรู้และเข้าใจมูลนิธิฉือจี้มากยิ่งขึ้น พวกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตลอดระยะเวลา 3 วันของการอบรมนักศึกษาทุกท่านจะนำฉือจี้เข้าไปอยู่ในหัวใจของทุกคน
……………………………………….
วันอาทิตย์ ที่ 22 พฤษภาคม 2554
วันที่สองของค่ายอบรมการสร้างแกนนำนักศึกษาจิตอาสา กิจกรรมแรกในวันนี้ถือเป็นกิจกรรมที่สำคัญอย่างยิ่ง นั้นคือ “พิธีสรงน้ำพระ” อาสาสมัครได้ช่วยกันจัดเตรียมสถานที่ทำพิธีสรงน้ำพระ เมื่อเยาวชนเดินทางมาพร้อมแล้ว เยาวชนได้ร่วมฝึกซ้อมพิธีสรงน้ำพระพุทธมนต์เพื่อให้พิธีเป็นไปด้วยความสวยงามและเรียบร้อย เยาวชนทุกท่านได้ร่วมพิธีสรงน้ำพระอย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อเป็นการเจริญสติ ชำระล้างกิเลศภายในจิตใจให้ดียิ่งขึ้น ทำให้จิตใจใสสะอาดมากขึ้น
อาจารย์วิมลมาลย์รับหน้าที่บรรยายการเจริญอยู่กับปัจจุบันขณะ เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้การมีสติอยู่กับปัจจุบันขณะ รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา โดยให้ทุกคนนั่งสมาธิ ตั้งจิตให้มั่นเพื่อเป็นการฝึกจิตใจของตนเอง จากนั้นเหรียญชินซือเจ๋ได้แบ่งปันเรื่อง การสำนึกผิด โดยใช้บทเพลงประกอบการแสดงภาษามือเป็นการสื่อความหมายเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ความทุกข์ไม่มีวันหมดสิ้น จากอดีตสะสมมา เกิดจากความโลภ โกรธ หลง จึงจำเป็นที่จะต้องสำนึกผิดต่อความอยากที่เกิดจากความรัก หลงในชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ เพื่อให้ทุกคนสำนึกผิดทุกๆวัน ทุกๆเวลา หากรู้สำนึกผิดอยู่เสมอจะทำจิตใจเราดีขึ้น ทำให้เรารู้จักรักผู้อื่นมากขึ้น เป็นการขัดเกลาจิตใจตัวเอง เมื่อนั้นเราจะมีเมตตาธรรมเกิดขึ้น การสำนึกผิดเปรียบได้กับการทำความดีต้องทำตลอดเวลา แล้วสิ่งดีๆจะเกิดขึ้นภายในจิตใจเรา เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมีสมาธิ มีสติมากขึ้น อาสาสมัครได้แสดงภาษามือเพลงชีวิตคือเซน สร้างสมาธิให้เกิดขึ้นกับทุกคน ให้ทุกคนมีสติมากยิ่งขึ้น
ช่วงบ่ายของกิจกรรม อาสาสมัครได้แสดงละครเรื่องบะหมี่ชามเดียว นักศึกษาจะได้ตระหนักถึงคุณค่าของการกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ละครบะหมี่ชามทำให้เราได้เรียนรู้ว่า แม่มีความหมายและเป็นผู้ที่มีพระคุณต่อลูกมาก และลูกควรมีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ รู้ตอบแทนคุณบิดรมารดา
จากนั้นทุกคนได้ร่วมกันแสดงภาษามือเพลงแม่จ๋า เพื่อเป็นการระลึกถึงพระคุณของแม่และพ่อผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูลูกมาด้วยความรักและอาทร
ละครเทิดพระคุณแม่ ละครกล่องของแม่ เป็นละครเวทีที่มูลนิธิพุทธฉือจี้ได้จัดแสดงไว้เมื่อหลายปีก่อน อาสาสมัครได้นำมาฉายให้เยาวชนได้ชม ณ บ้านหลังน้อยหลังหนึ่ง ในอดีตบรรยากาศภายในบ้านมีแต่ความสุข ความอบอุ่นของแม่และลูกๆอีกสี่ชีวิต แต่วันนี้มีเพียงหญิงชราที่ชื่อพรพรรณ ใช้ชีวิตอยู่กับลูกสาวคนเล็กเท่านั้น ส่วนลูกสาวคนโตและลูกชายคนกลาง ได้แยกออกไปมีครอบครัวอยู่ต่างหาก นานๆครั้งลูกของเธอจะมาเยี่ยมสักครั้ง ละครกล่องของแม่เป็นละครที่นำมาจากเค้าโครงเรื่องจริง ของผู้ที่ได้ชื่อว่า เกิดมาเพื่อมอบรอยยิ้ม กำลังใจ หรือแม้แต่ชีวิตเพื่อลูก เพื่อให้ทุกท่านได้ใช้หัวใจ ความรู้สึกเรียนรู้ความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ
กิจกรรมแบ่งปันประสบการณ์สำนึกกตัญญู อาสาสมัครได้ให้ผู้เข้าอบรมเขียนบรรยายความรู้สึก ประสบการณ์ต่างๆ หรือเรื่องราวที่อยากจะบอกแม่ของตนเอง และให้ผู้สมัครใจแบ่งปันเรื่องราวของตนเอง นักศึกษารู้สึกซาบซึ้งกับกิจกรรมนี้เป็นอย่างมาก น้ำตาแห่งการสำนึกผิดของลูกที่ได้ทำให้แม่เสียใจ น้อยใจ หมดกำลังใจจากความเอาแต่ใจ น้อยใจพ่อแม่ ได้ไหลผ่านดวงตาดวงน้อยของลูกๆ คำกล่าวขอโทษได้ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ กิจกรรมสำนึกคุณทำให้พวกเค้าหวลระลึกถึงพระคุณของพ่อแม่ หากไม่มีพ่อและแม่พวกเค้าคงไม่มีวันนี้ นักศึกษาต่างสัญญาว่า “จะกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ จะตั้งใจเรียน และจะเป็นเด็กดีของพ่อแม่”
..........................................................
วันจันทร์ ที่ 23 พฤษภาคม 2554
วันสุดท้ายของการอบรมค่ายแกนนำนักศึกษาจิตอาสาตามแนวพุทธฉือจี้ กิจกรรมเริ่มด้วยภาษามือเพลง ซิ่งฝู อาสาสมัครได้ให้นักศึกษาล้อมวงเป็นวงกลมและร่วมกันแสดงภาษามือ จากนั้นได้ร่วมกันสวดมนต์พระธรรมอมิตตาสูตร เพื่อทำให้จิตใจสงบ มีปณิธานกว้างใหญ่ ทำให้เกิดปัญญาที่ชัดแจ้ง เป็นการทำตั้งสติและสมาธิในวิถีของพุทธฉือจี้ ในทุกอิริยาบท เช่น การเดิน ยืน นั่ง นอนอย่างมีสติ
อาสาสมัครคุณบุญประกอบร่วมแบ่งปันในหัวข้อสภาวะโลกร้อน สอนให้นักศึกษารู้รักษ์โลกใบนี้ ช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม “1 วัน 5 ความดี ร่วมกันลดโลกร้อน” เพราะโลกในปัจจุบันกำลังเผชิญกับภัยธรรมชาติที่ร้ายเรงอย่างต่อเนื่อง ร่วมกันรับประทานอาหารเจ ช่วยกันประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ ใช้บริการขนส่งมวลชน และพกพาชุดรับประทานอาหารส่วนตัว เพื่อลดการใช้พลาสติกและโฟม
“มาช่วยกันถนอมโลกใบนี้กันเถอะ” อาสาสมัครได้แสดงละครเรื่องการประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ ลดการใช้ถุงพลาสติก แยกขยะรีไซเคิล แนะนำการนำขวดพลาสติกใสมาทำผ้าห่มและเสื้อผ้า นักศึกษาต่างสัมผัสคามนุ่มของเนื้อผ้าจากผลิตภัณฑ์รีไซเคิลของมูลนิธิฉือจี้ ทำให้เข้าใจว่า จริงๆแล้วขวดพลาสติกมีคุณค่ามากมาย นักศึกษาได้เรียนรู้หลักการอนุรัษ์สิ่งแวดล้อมของฉือจี้ และได้ร่วมกันเปิดใจ ร่วมกันเสนอแนวคิดเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ดังนี้
โครงการที่ 1 “กระดาษหน้าที่ 3” กระดาษเมื่อเขียนทั้งสองด้านแล้วสมามารถนำมาทำเป็ยกระดาษอักษรเบลได้เพื่อเป็นหนังสือสำหรับผู้พิการทางสายตา
โครงการที่ 2 ช่วยกันปลูกต้นไม้ ร่วมรณรงค์ให้ทุกคนช่วยกันปลูกต้นไม้คนละต้นเพื่อช่วยให้โลกใบนี้มีพิ้นที่สีเขียวมากยิ่งขึ้น
โครงการที่ 3 ปฏิบัติการเปลี่ยนโลก ทุกคนช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมทุกรูปแบบ เมื่อทุกคนช่วยกันโลกใบนี้จะสามารถกลับมาเป็นโลกที่มีสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น
กิจกรรมช่วงรับประทานอาหารกลางวัน อาสาสมัครได้ให้นักศึกษารับประทานอาหารแบบ “ปิดตากินข้าว” เพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสถึงความลำบาก ความรู้สึกเมื่อมองไม่เห็น และฝึกความอดทนในการทำสิ่งต่างๆ เรียนรู้การใช้ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง
ช่วงบ่ายเป็นการเรียนรู้การเป็นเยาวชนฉือจี้ โดยคุณผงโชว่อี้ได้ร่วมแบ่งปันการที่จะเป็นเยาวชนฉือจี้จะต้องทำอย่าไร และได้นำเรื่องราวของเยาวชนฉือจี้ของแต่ละประเทศมาแบ่งปันแก่นักศึกษา จากนั้นคุณเฉินมี่ฟงได้ร่วมแบ่งปันกิจกรรมที่เยาวชนฉือจี้ทำในแต่ละประเทศ เพื่อให้นักศึกษาได้เข้าใจมากขึ้น
ค่ายอบรมการสร้างแกนนำนักศึกษาจิตตอาสาตามแนวพุทธฉือจี้ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายของการอบรม อาสาสมัครและนักศึกษาทุกท่านได้รวมพลังกันแสดงภาษามือเกี่ยวกับการสำนึกผิดเพื่อตั้งใจขอขมากรรมต่อสิ่งต่างๆที่ทุกคนทำไม่ดีไว้และเป็นการตั้งสติแห่งปัญญา
ย้อนระลึกถึงวันวาน เป็นการรับชมประมวลภาพกิจกรรมทั้ง 3 วันเพื่อเป็นการย้อนอดีตภาพแห่งความประทับใจที่นักศึกษาได้ร่วมกันทำกิจกรรม สร้างความประทับใจแก่นักศึกษาทุกคน
จากนั้นทุกคนได้ร่วมกันตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อตั้งสติในการดำเนินชีวิตต่อไป อาสาสมัครได้มอบของที่ระลึกการอบรมครั้งนี้แก่นักศึกษาและอาสาสมัครจิตอาสาทุกท่าน
กิจกรรมสุดท้ายในการอบรมครั้งนี้ อาสาสมัครและนักศึกษาทุกท่านได้นำดอกไม้เพื่อสักการะพระบรมฉายาลักษณ์พระบิดา (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก กรมหลวงสงขลานครินทร์)บิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย ซึ่งทุกท่านให้ความเคารพนับถือ พระราชดำรัสของพระองค์ท่านที่ว่า “ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์และเกียรติ จะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์” ก็ยังคงก้องกังวานอยู่ในหัวใจของปวงชนมิรู้คลาย นักศึกษาและอาสาสมัครทุกท่านต่างกก้มกราบพระบิดาด้วยความรักและจะนำพระราชดำรัสของพระองค์ท่านปฏิบัติตลอดไป
ประโยชน์ที่ได้รับได้จากการค่าบอบรมในครั้งนี้ ทำให้เกิดแกนนำอาสาสมัครนักศึกษาตามแนวพุทธฉือจี้ ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (จำนวน 20 คน) นักศึกษาเหล่านี้สามารถเป็นผู้นำในการทำกิจกรรมด้านจิตอาสา และการทำงานในชุมชนต่อไป
บันทึกกิจกรรม : คุณเล็ก
ระหว่าง วันที่ 21 – 23 เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช 2554
(เวลา 08.00 – 16.30 น.)
ณ ห้องกิตติ ลิ่มอภิชาต คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
จัดโดย มูลนิธิพุทธฉือจี้ ไต้หวันในประเทศไทย โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ และ
งานกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
อาสาสมัคร : อาสาสมัครกรุงเทพ จำนวน 6 คน
อาสาสมัครหาดใหญ่ จำนวน 24 คน
อาสาสมัครภูเก็ต จำนวน 2 คน
อาสาสมัคตรัง จำนวน 2 คน
เจ้าหน้าที่มูลนิธิฉือจี้ : เล็ก บอล
บันทึกกิจกรรม : เล็ก
…………………………………………
วันศุกร์ ที่ 20 พฤษภาคม 2554
อาสาสมัครได้เดินทางมาถึงมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยได้รับการต้อนรับจากอาสาสมัครฉือจี้หาดใหญ่ อาสาสมัครฉือจี้ที่ได้มาร่วมกันจัดกิจกรรมค่ายอบรมแกนนำนักศึกษาจิตอาสาตามแนวพุทธฉือจี้ครั้งนี้ได้แก่ อาสาสมัครกรุงเทพมหานคร อาสาสมัครภูเก็ต อาสาสมัครตรัง และอาสาสมัครหาดใหญ่ จำนวน 34 คน อาสาสมัครได้ร่วมกันประชุมปรึกษาวางแผนงานกิจกรรมค่ายอบรมในครั้งนี้ อาสาสมัครแต่ละท่านต่างได้รับมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบซึ่งทุกท่านรับผิดชอบหน้าที่ตามมความถนัดและความเหมาะสมของแต่ละกิจกรรมตลอดระยะเวลา 3 วันในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ จากนั้นอาสาสมัครได้ช่วยกันจัดสถานที่จัดกิจกรรม และจัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ จากนั้นอาสาสมัครได้รวมตัวกันเพื่อฝึกซ้อมการแสดงละครห้วงเวลากระปุกออมบุญ เพื่อให้การถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมา การก่อกำเนิดมูลนิธิพุทธฉือจี้เป็นไปด้วยความสมบูรณ์ที่สุด อาสาสมัครทุกท่านต่างตั้งใจฝึกซ้อมละครในครั้งนี้ อาสาสมัครแต่ละท่านมีความตั้งใจและตื่นเต้นกับกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
……………………………………………….
หลักการและเหตุผลกิจกรรมค่ายอบรมแกนนำนักศึกษาจิตอาสาตามแนวพุทธฉือจี้
ปัจจุบันมูลนิธิพุทธฉือจี้ในประเทศไต้หวัน เป็นแหล่งที่คนไทยคณะต่างๆ เดินทางไปแสวงบุญ เพื่อสร้าจิตสำนึกใหม่บนเส้นทางแห่งความดี โดยผ่านการจัดกิจกรรมที่ปลูกฝังคุณธรรมให้เห็นผลชัดเจนเป็นรูปธรรมแบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง (active learning) ซึ่งสามารถปฏิบัติได้ทุกศาสนา ทำให้เยาวชนได้คิด ได้ทำและมีส่วนร่วม โดยวิถีธรรมอยู่ในวิถีชีวิตทุกอิริยาบถในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการช่วยเหลือและลดปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมที่กำลังเป็นวิกฤตของประเทศไทยและของโลกปัจจุบัน คณะผู้จัดอบรมได้เห็นความสำคัญของการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมและจิตอาสาของนักศึกษาในมหาวิทยาลัย และการสร้างจิตสำนึกใหม่ตามแนวปฏิบัติของมูลนิธิพุทธฉือจี้โดยจิตสำนึกใหม่ (new consciousness) เป็นความรู้สึกนึกคิดที่มีปริมณฑลที่กว้างขวางหมายถึง การเปลี่ยนแปลงระดับขั้นพื้นฐานของจิตใจ จิตวิญญาณ จากจิตเล็กไปสู่จิตใหญ่ จากความคับแคบของตัวเองไปสู่จิตที่เชื่อมโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชีวิตและธรรมชาติ เข้าถึงความเป็นทั้งหมดหรือเป็นหนึ่งเดียวของธรรมชาติ หลุดพ้นจากความบีบคั้น ความคับแคบเป็นอิสระ มีความสุข เกิดมิตรภาพอันไพศาล รักเพื่อนมนุษย์ รักธรรมชาติทั้งหมด และเข้าใจคน มองคนเป็นองค์รวมที่ประกอบด้วยมิติทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ จิตวิวัฒน์ทำให้การอยู่ร่วมกันของมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับธรรมชาติมีได้อย่างสันติ ทำให้มนุษย์เห็นคุณค่าของคนรอบข้าง เห็นความงามของทุกสิ่งรอบตัว ก้าวข้ามความคิดคับแคบที่เคยมองโลกนำไปสู่การแก้วิกฤตต่างๆ ที่โลกเผชิญ โดยอยู่บนพื้นฐานของความรักและความเคารพกันและกันทั้งกับเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติ การสร้างขบวนการเรียนรู้ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในนำไปสู่จิตสำนึกใหม่โดยผ่านกิจกรรมการเจริญสติ เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการมีจิตวิวัฒน์ที่มีจิตใจดีงาม มีจิตอาสาช่วยเหลือสังคม กระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์และเกื้อกูลต่อโลก คณะผู้จัดอบรมจึงสนใจอบรมคุณธรรมจริยธรรมและจิตอาสาของมูลนิธิพุทธฉือจี้ให้กับนักศึกษาแกนนำ
วัตถุประสงค์
1. เพื่อให้นักศึกษาได้มีความรู้ และทักษะ การเป็นจิตอาสาตามแนวทางมูลนิธิพุทธฉือจี้ และเป็นแกนนำในด้านจิตอาสาสำหรับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
2. เพื่อให้ได้ฝึกปฏิบัติ และสามารถปฏิบัติงานด้านจิตอาสาในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
………………………………………...
วันเสาร์ ที่ 21 พฤษภาคม 2554
กิจกรรมค่ายอบรมแกนนำนักศึกษาจิตอาสาตามแนวพุทธฉือจี้ได้รับความสนใจจากนักเรียนนักศึกษาและเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ทั้งหมด 36 คน ได้แก่
-คณะศิลปศาสตร์ จำนวน 2 คน
-คณะนิติศาตร์ จำนวน 1 คน
-คณะแพทย์แผนไทย จำนวน 3 คน
-คณะเทคนิคการแพทย์ จำนวน 12 คน
-คณะแพทย์ศาสตร์ จำนวน 2 คน
-คณะวิทยาการจัดการ จำนวน 1 คน
-คณะวิทยาศาตร์ จำนวน 1 คน
-เจ้าหน้าที่โครงการบัณฑิตอาสา จำนวน 1 คน
-เจ้าหน้าที่งานสิทธิประโยชน์ผู้ป่วย จำนวน 3 คน
-วิทยาลัยการอาชีพเบตง จ.ยะลา จำนวน 1 คน
-นักศึกษาแลกเปลี่ยนสัญชาติฮ่องกง จำนวน 1 คน
-นักศึกษาแลกเปลี่ยนสัญชาติเกาหลี จำนวน 1 คน
-นักเรียนจากโรงเรียนสังกัดอบต.ท่าข้าม จำนวน 5 คน
-สมาคมจิตอาสา (VSA Thailand) จำนวน 2 คน
ผู้เข้ารับการอบรมเดินทางมาถึงห้องประชุม ต่างทยอยลงทะเบียนเพื่อรับแฟ้มกิจกรรมค่ายอบรม โดยมีอาสาสมัครให้การต้อนรับด้วยความรัก
ก่อนพิธีเปิดค่ายอบรมแกนนำนักศึกษาจิตอาสาตามแนวพุทธฉือจี้อย่างเป็นทางการ คุณผงโชวอี้ได้แนะนำวัฒนธรรมจริยธรรมฉือจี้ “วิถีชา วิถีชีวิต” โดยมีคุณเฉียชินแสดงภาษามือประกอบการแสดง เพื่อเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมการชงชาแก่ผู้เข้าอบรม เพื่อให้ทุกท่านได้เรียนรู้ชีวิตโดยใช้การชงชาเป็นสื่อการเรียนรู้ เพื่อให้ทุกท่านได้เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องมารยาท ความกตัญญู ความดีงาม ได้นำหลักคำสอนต่างๆไปปรับใช้และเผยแพร่ต่อไป
กิจกรรมค่ายอบรมในวันนี้ได้รับเกียรติจากรองศาสตราจารย์นายแพทย์สุธรรม ปิ่นเจริญ รองอธิการบดีคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นผู้กล่าวเปิดค่ายอบรมครั้งนี้ นายแพทย์
สุธรรม กล่าวว่า “รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มาร่วมพิธีเปิดการอบรมในวันนี้ ได้เห็นกลุ่มเยาวชนและนักศึกษาให้ความสำคัญและสนใจการเป็นจิตอาสา เพื่อมาดูแลช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เป็นแกนหลักให้กับเพื่อนๆที่มีจิตอาสาด้วยกัน ไม่เพียงแต่การเติมเต็มปัจจัยภายนอกด้านการดำเนินชีวิต แต่ยังได้เติมเต็มชองว่างทางจิตใจ เริ่มต้นด้วยการสร้างสรรค์จิตใจอันดีงามของตนเอง หลายคนได้นำวาทะธรรมของท่านธรรมาจารย์เจิ้งเอิ๋ยนมาใช้ในการดำเนินชีวิตและช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความทุกข์ยาก การรักษาพยาบาล การช่วยเหลือภัยพิบัติต่างแดน ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสภาวะโลกร้อน”
ทญ.ฉลอง เอื้องสุวรรณ ได้กล่าวรายงานค่ายอบรมแกนนำนักศึกษาจิตอาสาว่า “การจัดอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ เพื่อสร้างจิตสำนึกใหม่บนเส้นทางแห่งความดี ผ่านการจัดกิจกรรมที่ปลูกฝังคุณธรรมให้เห็นผลชัดเจนเป็นรูปธรรมแบบเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้เยาวชนได้คิด ได้ทำ และมีส่วนร่วม เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับขั้นพื้นฐานของจิตใจจิตวิญญาณจากจิตเล็กไปสู่จิตใหญ่ จากความคับแคบของตัวเองไปสู่จิตที่เชื่อมโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชีวิตและธรรมชาติ มองคนเป็นองค์รวมที่ประกอบด้วยมิติทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ”
จากนั้นคุณผงโชวอี้ เป็นตัวแทนอาสาสมัครมูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวันในประเทศไทย ได้ให้ข้อคิดแก่เยาวชนผู้เข้ารับการอบรมว่า “ขอให้เยาวชนทุกคนตั้งใจและเก็บเกี่ยวความรู้ที่ได้จากการอบรมครั้งนี้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันของตนเองและนำไปเผยแพร่แก่คนรอบข้างต่อไป”
วัฒนธรรมฉือจี้ การแสดงภาษามือเพลงโลกนี้มีความรัก เพื่อเป็นถ่ายทอดการมอบความรักให้แก่คนทั่วโลก สร้างความประทับใจแก่เยาวชนทุกท่าน
เพื่อให้นักศึกษาทุกท่านได้ทำความรู้จัก คุ้นเคย สนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น คุณหมอฉลองได้ให้นักศึกษาร่วมกิจกรรม รู้ใจ รู้จัก ก่อนเริ่มกิจกรรมให้ทุกคนนั่งสมาธิ หายใจเข้า-ออกเพื่อผ่อนคลาย แล้วให้นึกย้อนระลึกถึงอดีตที่ผ่านมาเมื่อสมัยวัยเยาว์ จากนั้นทุกคนจับคู่เพื่อนเพื่อร่วมแลกเปลี่ยนเรื่องราวสมัยวัยเยาว์เพื่อให้เพื่อนรับฟังเรื่องราวของตน เป็นการให้ทุกคนเรียนการเป็นผู้พูดและผู้ฟังที่ดี
นอกจากนี้นักศึกษาได้ร่วมกันเล่นเกมจับคู่บัดดี้ โดยแต่ละคนจะมีเพื่อนที่คอยดูแล ให้กำลังใจ โดยแต่ละคนจะได้รับข้อความให้กำลังใจใส่ซองจดหมายไว้บนกระดานหัวข้อ “หว่านต้นรักแห่งหัวใจ”เป็นการสร้างมิตรสัมพันธ์ระหว่างกัน
เรื่องราวประวัติความเป็นมาและภารกิจของฉือจี้ คุณบุญประกอบรับหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราว และเพื่อให้เยาวชนเรื่องราวมากยิ่งขึ้น อาสาสมัครได้แสดงละครเรื่อง ห้วงเวลากระบอกไม้ไผ่ เป็นการบอกเล่าต้นกำเนิดของมูลนิธิฉือจี้อย่างแท้จริง ทำให้ทุกท่านเมื่อได้รับชมละครแล้วเข้าใจเรื่องราวฉือจี้มากขึ้น และยินดีร่วมบริจาคเงินใส่กระปุกออมบุญ เพื่อทำความดีกับชาวฉือจี้ต่อไป
คุณสุชนได้ร่วมแบ่งปันงานมหาปณิธานนสี่ของฉือจี้ และได้เล่าเรื่องราวการให้ความช่วยเหลือครอบครัวผู้มีพระคุณ โดยยกตัวอย่างเคสคุณสุภานีซึ่งเป็นเคสที่มูลนิธิให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง แม้ว่าคุณสุภานีจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ปัจจุบันมูลนิธิก็ยังให้ความช่วยเหลือดูแลและแม่และลูกๆของคุณสุภานีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ครอบครัวนี้ซาบซึ้งในน้ำใจชาวฉือจี้เป็นอย่างยิ่ง นักศึกษาเมื่อได้รับชม VCR เรื่องราวคุณสุภานีทุกคนรู้สึกเสียใจกับครอบครัวนี้เป็นอย่างมาก และได้เรียนรู้การใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น
การอบรมในภาคเช้านักศึกษาได้เข้าใจเรื่องราวมูลนิธิฉือจี้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ทุกคนจดจำเรื่องราวได้ดียิ่งขึ้นอาสามัครได้ให้ทุกคนทำกิจกรรมวาดภาพ โดยแบ่งกลุ่มเป็น 5 กลุ่ม และให้ทุกคนช่วยกันวาดภาพสิ่งที่ตัวเองได้รับจากการอบรมในช่วงเช้าทั้งหมด ซึ่งนักศึกษาแต่ละคนต่างร่วมแรงร่วมใจกันวาดภาพถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างสวยงามแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของทุกคน และแสดงออกถึงความสมานไมตรีของนักศึกษา
กิจกรรมช่วงบ่าย อาสาสมัครได้สอนวัฒนธรรมการแสดงภาษามือ เพลงครอบครัวเดียวกัน เพื่อให้นักศึกษาได้ร่วมฝึกซ้อมเพื่อจะได้แสดงท่าทางได้อย่างสวนงาม เพราะช่วงบ่ายกิจกรรมเยี่ยมผู้ป่วยนักศึกษาจะได้ร่วมกันแสดงภาษามือให้ผู้ป่วยได้ชม
อาสาสมัครได้จำลองเหตุการณ์การไปเยี่ยมเยียนผู้ป่วยแบบชาวฉือจี้ ให้ได้เห็นถึงวิธีการแสดงออกต่อครอบครัวบุญคุณ มารยาท การพูดการจา และการให้กำลังใจแก่ผู้ป่วย
กิจกรรมเยี่ยมหอผู้ป่วย อาสาสมัครได้พานักศึกษาเดินทางมายังอาคารเย็นศิระ บริเวณวัดโคกนาว อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อพูดคุยให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยซึ่งมาพักอาศัยที่บ้านพักชั่วคราว อาคารเย็นศิระเป็นสถานที่พักสำหรับผู้ป่วยทั่วภาคใต้ซึ่งต้องมารับการรักษาที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์แต่เนื่องจากระยะเวลาในการเดินทางต้องใช้เวลานานประกอบกับผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาเป็นระยะเวลานาน จึงได้มาพักชั่วคราวที่อาคารเย็นศิระ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มาพักที่อาคารเย็นศิระ เข้ารับการรักษาด้วยโรคมะเร็ง โรคอัมพฤต อัมภาต นักศึกษาได้แบ่งกลุ่มเข้าไปเยี่ยมพูดคุย ให้กำลังใจ มอบของเยี่ยมแก่ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย นอกจากนี้ยังได้เขียนขอความให้กำลังใจและร่วมกันแสดงภาษามือเพื่อสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วยมีรอยยิ้มและมีพลังแรงใจต่อสู้กับโรคภัยต่อไป
กิจกรรมตลอดทั้งวันนี้ทำให้นักศึกษาได้เรียนรู้และเข้าใจมูลนิธิฉือจี้มากยิ่งขึ้น พวกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตลอดระยะเวลา 3 วันของการอบรมนักศึกษาทุกท่านจะนำฉือจี้เข้าไปอยู่ในหัวใจของทุกคน
……………………………………….
วันอาทิตย์ ที่ 22 พฤษภาคม 2554
วันที่สองของค่ายอบรมการสร้างแกนนำนักศึกษาจิตอาสา กิจกรรมแรกในวันนี้ถือเป็นกิจกรรมที่สำคัญอย่างยิ่ง นั้นคือ “พิธีสรงน้ำพระ” อาสาสมัครได้ช่วยกันจัดเตรียมสถานที่ทำพิธีสรงน้ำพระ เมื่อเยาวชนเดินทางมาพร้อมแล้ว เยาวชนได้ร่วมฝึกซ้อมพิธีสรงน้ำพระพุทธมนต์เพื่อให้พิธีเป็นไปด้วยความสวยงามและเรียบร้อย เยาวชนทุกท่านได้ร่วมพิธีสรงน้ำพระอย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อเป็นการเจริญสติ ชำระล้างกิเลศภายในจิตใจให้ดียิ่งขึ้น ทำให้จิตใจใสสะอาดมากขึ้น
อาจารย์วิมลมาลย์รับหน้าที่บรรยายการเจริญอยู่กับปัจจุบันขณะ เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้การมีสติอยู่กับปัจจุบันขณะ รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา โดยให้ทุกคนนั่งสมาธิ ตั้งจิตให้มั่นเพื่อเป็นการฝึกจิตใจของตนเอง จากนั้นเหรียญชินซือเจ๋ได้แบ่งปันเรื่อง การสำนึกผิด โดยใช้บทเพลงประกอบการแสดงภาษามือเป็นการสื่อความหมายเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ความทุกข์ไม่มีวันหมดสิ้น จากอดีตสะสมมา เกิดจากความโลภ โกรธ หลง จึงจำเป็นที่จะต้องสำนึกผิดต่อความอยากที่เกิดจากความรัก หลงในชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ เพื่อให้ทุกคนสำนึกผิดทุกๆวัน ทุกๆเวลา หากรู้สำนึกผิดอยู่เสมอจะทำจิตใจเราดีขึ้น ทำให้เรารู้จักรักผู้อื่นมากขึ้น เป็นการขัดเกลาจิตใจตัวเอง เมื่อนั้นเราจะมีเมตตาธรรมเกิดขึ้น การสำนึกผิดเปรียบได้กับการทำความดีต้องทำตลอดเวลา แล้วสิ่งดีๆจะเกิดขึ้นภายในจิตใจเรา เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมีสมาธิ มีสติมากขึ้น อาสาสมัครได้แสดงภาษามือเพลงชีวิตคือเซน สร้างสมาธิให้เกิดขึ้นกับทุกคน ให้ทุกคนมีสติมากยิ่งขึ้น
ช่วงบ่ายของกิจกรรม อาสาสมัครได้แสดงละครเรื่องบะหมี่ชามเดียว นักศึกษาจะได้ตระหนักถึงคุณค่าของการกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ละครบะหมี่ชามทำให้เราได้เรียนรู้ว่า แม่มีความหมายและเป็นผู้ที่มีพระคุณต่อลูกมาก และลูกควรมีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ รู้ตอบแทนคุณบิดรมารดา
จากนั้นทุกคนได้ร่วมกันแสดงภาษามือเพลงแม่จ๋า เพื่อเป็นการระลึกถึงพระคุณของแม่และพ่อผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูลูกมาด้วยความรักและอาทร
ละครเทิดพระคุณแม่ ละครกล่องของแม่ เป็นละครเวทีที่มูลนิธิพุทธฉือจี้ได้จัดแสดงไว้เมื่อหลายปีก่อน อาสาสมัครได้นำมาฉายให้เยาวชนได้ชม ณ บ้านหลังน้อยหลังหนึ่ง ในอดีตบรรยากาศภายในบ้านมีแต่ความสุข ความอบอุ่นของแม่และลูกๆอีกสี่ชีวิต แต่วันนี้มีเพียงหญิงชราที่ชื่อพรพรรณ ใช้ชีวิตอยู่กับลูกสาวคนเล็กเท่านั้น ส่วนลูกสาวคนโตและลูกชายคนกลาง ได้แยกออกไปมีครอบครัวอยู่ต่างหาก นานๆครั้งลูกของเธอจะมาเยี่ยมสักครั้ง ละครกล่องของแม่เป็นละครที่นำมาจากเค้าโครงเรื่องจริง ของผู้ที่ได้ชื่อว่า เกิดมาเพื่อมอบรอยยิ้ม กำลังใจ หรือแม้แต่ชีวิตเพื่อลูก เพื่อให้ทุกท่านได้ใช้หัวใจ ความรู้สึกเรียนรู้ความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ
กิจกรรมแบ่งปันประสบการณ์สำนึกกตัญญู อาสาสมัครได้ให้ผู้เข้าอบรมเขียนบรรยายความรู้สึก ประสบการณ์ต่างๆ หรือเรื่องราวที่อยากจะบอกแม่ของตนเอง และให้ผู้สมัครใจแบ่งปันเรื่องราวของตนเอง นักศึกษารู้สึกซาบซึ้งกับกิจกรรมนี้เป็นอย่างมาก น้ำตาแห่งการสำนึกผิดของลูกที่ได้ทำให้แม่เสียใจ น้อยใจ หมดกำลังใจจากความเอาแต่ใจ น้อยใจพ่อแม่ ได้ไหลผ่านดวงตาดวงน้อยของลูกๆ คำกล่าวขอโทษได้ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ กิจกรรมสำนึกคุณทำให้พวกเค้าหวลระลึกถึงพระคุณของพ่อแม่ หากไม่มีพ่อและแม่พวกเค้าคงไม่มีวันนี้ นักศึกษาต่างสัญญาว่า “จะกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ จะตั้งใจเรียน และจะเป็นเด็กดีของพ่อแม่”
..........................................................
วันจันทร์ ที่ 23 พฤษภาคม 2554
วันสุดท้ายของการอบรมค่ายแกนนำนักศึกษาจิตอาสาตามแนวพุทธฉือจี้ กิจกรรมเริ่มด้วยภาษามือเพลง ซิ่งฝู อาสาสมัครได้ให้นักศึกษาล้อมวงเป็นวงกลมและร่วมกันแสดงภาษามือ จากนั้นได้ร่วมกันสวดมนต์พระธรรมอมิตตาสูตร เพื่อทำให้จิตใจสงบ มีปณิธานกว้างใหญ่ ทำให้เกิดปัญญาที่ชัดแจ้ง เป็นการทำตั้งสติและสมาธิในวิถีของพุทธฉือจี้ ในทุกอิริยาบท เช่น การเดิน ยืน นั่ง นอนอย่างมีสติ
อาสาสมัครคุณบุญประกอบร่วมแบ่งปันในหัวข้อสภาวะโลกร้อน สอนให้นักศึกษารู้รักษ์โลกใบนี้ ช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม “1 วัน 5 ความดี ร่วมกันลดโลกร้อน” เพราะโลกในปัจจุบันกำลังเผชิญกับภัยธรรมชาติที่ร้ายเรงอย่างต่อเนื่อง ร่วมกันรับประทานอาหารเจ ช่วยกันประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ ใช้บริการขนส่งมวลชน และพกพาชุดรับประทานอาหารส่วนตัว เพื่อลดการใช้พลาสติกและโฟม
“มาช่วยกันถนอมโลกใบนี้กันเถอะ” อาสาสมัครได้แสดงละครเรื่องการประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ ลดการใช้ถุงพลาสติก แยกขยะรีไซเคิล แนะนำการนำขวดพลาสติกใสมาทำผ้าห่มและเสื้อผ้า นักศึกษาต่างสัมผัสคามนุ่มของเนื้อผ้าจากผลิตภัณฑ์รีไซเคิลของมูลนิธิฉือจี้ ทำให้เข้าใจว่า จริงๆแล้วขวดพลาสติกมีคุณค่ามากมาย นักศึกษาได้เรียนรู้หลักการอนุรัษ์สิ่งแวดล้อมของฉือจี้ และได้ร่วมกันเปิดใจ ร่วมกันเสนอแนวคิดเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ดังนี้
โครงการที่ 1 “กระดาษหน้าที่ 3” กระดาษเมื่อเขียนทั้งสองด้านแล้วสมามารถนำมาทำเป็ยกระดาษอักษรเบลได้เพื่อเป็นหนังสือสำหรับผู้พิการทางสายตา
โครงการที่ 2 ช่วยกันปลูกต้นไม้ ร่วมรณรงค์ให้ทุกคนช่วยกันปลูกต้นไม้คนละต้นเพื่อช่วยให้โลกใบนี้มีพิ้นที่สีเขียวมากยิ่งขึ้น
โครงการที่ 3 ปฏิบัติการเปลี่ยนโลก ทุกคนช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมทุกรูปแบบ เมื่อทุกคนช่วยกันโลกใบนี้จะสามารถกลับมาเป็นโลกที่มีสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น
กิจกรรมช่วงรับประทานอาหารกลางวัน อาสาสมัครได้ให้นักศึกษารับประทานอาหารแบบ “ปิดตากินข้าว” เพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสถึงความลำบาก ความรู้สึกเมื่อมองไม่เห็น และฝึกความอดทนในการทำสิ่งต่างๆ เรียนรู้การใช้ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง
ช่วงบ่ายเป็นการเรียนรู้การเป็นเยาวชนฉือจี้ โดยคุณผงโชว่อี้ได้ร่วมแบ่งปันการที่จะเป็นเยาวชนฉือจี้จะต้องทำอย่าไร และได้นำเรื่องราวของเยาวชนฉือจี้ของแต่ละประเทศมาแบ่งปันแก่นักศึกษา จากนั้นคุณเฉินมี่ฟงได้ร่วมแบ่งปันกิจกรรมที่เยาวชนฉือจี้ทำในแต่ละประเทศ เพื่อให้นักศึกษาได้เข้าใจมากขึ้น
ค่ายอบรมการสร้างแกนนำนักศึกษาจิตตอาสาตามแนวพุทธฉือจี้ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายของการอบรม อาสาสมัครและนักศึกษาทุกท่านได้รวมพลังกันแสดงภาษามือเกี่ยวกับการสำนึกผิดเพื่อตั้งใจขอขมากรรมต่อสิ่งต่างๆที่ทุกคนทำไม่ดีไว้และเป็นการตั้งสติแห่งปัญญา
ย้อนระลึกถึงวันวาน เป็นการรับชมประมวลภาพกิจกรรมทั้ง 3 วันเพื่อเป็นการย้อนอดีตภาพแห่งความประทับใจที่นักศึกษาได้ร่วมกันทำกิจกรรม สร้างความประทับใจแก่นักศึกษาทุกคน
จากนั้นทุกคนได้ร่วมกันตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อตั้งสติในการดำเนินชีวิตต่อไป อาสาสมัครได้มอบของที่ระลึกการอบรมครั้งนี้แก่นักศึกษาและอาสาสมัครจิตอาสาทุกท่าน
กิจกรรมสุดท้ายในการอบรมครั้งนี้ อาสาสมัครและนักศึกษาทุกท่านได้นำดอกไม้เพื่อสักการะพระบรมฉายาลักษณ์พระบิดา (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก กรมหลวงสงขลานครินทร์)บิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย ซึ่งทุกท่านให้ความเคารพนับถือ พระราชดำรัสของพระองค์ท่านที่ว่า “ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์และเกียรติ จะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์” ก็ยังคงก้องกังวานอยู่ในหัวใจของปวงชนมิรู้คลาย นักศึกษาและอาสาสมัครทุกท่านต่างกก้มกราบพระบิดาด้วยความรักและจะนำพระราชดำรัสของพระองค์ท่านปฏิบัติตลอดไป
ประโยชน์ที่ได้รับได้จากการค่าบอบรมในครั้งนี้ ทำให้เกิดแกนนำอาสาสมัครนักศึกษาตามแนวพุทธฉือจี้ ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (จำนวน 20 คน) นักศึกษาเหล่านี้สามารถเป็นผู้นำในการทำกิจกรรมด้านจิตอาสา และการทำงานในชุมชนต่อไป
บันทึกกิจกรรม : คุณเล็ก
วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
ภาษาจีน 3 : ชื่อองค์กร ฉือจี้
การเรียกชื่อองค์กร ฉือจี้ในประเทศไทย
分會
มูลนิธิ
本會
สำนักงานใหญ่ไต้หวัน
培訓幹事
หัวหน้าฝ่ายอบรม
活動幹事
หัวหน้าฝ่ายกิจกรรม
精進幹事
หัวหน้าฝ่ายวิริยะ
訪視幹事
ฝ่ายสังคมสงเคราะห์
靜思書軒
ร้านหนังสือจิ้งซือ
南互愛
กลุ่มหนันฮู่อ้าย
กลุ่มกรุงเทพใต้
西互愛
กลุ่มซีฮู่อ้าย
กลุ่มกรุงเทพตะวันตก
東一協力組
กลุ่มเสียลี่ตงอี
กลุ่มกรุงเทพตะวันออกที่ 1
東互愛
กลุ่มตงฮู่อ้าย
กลุ่มกรุงเทพตะวันออก
菩提互愛組
เขตฮู่อ้ายราชบุรี
分會
มูลนิธิ
本會
สำนักงานใหญ่ไต้หวัน
培訓幹事
หัวหน้าฝ่ายอบรม
活動幹事
หัวหน้าฝ่ายกิจกรรม
精進幹事
หัวหน้าฝ่ายวิริยะ
訪視幹事
ฝ่ายสังคมสงเคราะห์
靜思書軒
ร้านหนังสือจิ้งซือ
南互愛
กลุ่มหนันฮู่อ้าย
กลุ่มกรุงเทพใต้
西互愛
กลุ่มซีฮู่อ้าย
กลุ่มกรุงเทพตะวันตก
東一協力組
กลุ่มเสียลี่ตงอี
กลุ่มกรุงเทพตะวันออกที่ 1
東互愛
กลุ่มตงฮู่อ้าย
กลุ่มกรุงเทพตะวันออก
菩提互愛組
เขตฮู่อ้ายราชบุรี
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)