อาสาสมัครฉือจี้ ชุดสีเทา กางเกงขาว รองเท้าขาว
เป็นเครื่องแบบ อาสาสมัครฉือจี้ ที่แสดงถึงว่า
เป็นผู้ที่ กำลัง บ่ม เพาะ คุณธรรม ในจิตใจตนเอน
ให้มี ธรรม (เหรินหวุน)
ให้เกิดขึ้นในใจ จนเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา
เช่น จากเดิม เป็นคนที่ชอบสูบบุหรี่ เคี้ยวหมาก ประจำ
(จริงๆแล้ว การติดใน เครื่องดื่ม บางประเภท เช่นยาชูกำลัง น้ำอัดลม ก็อนุโลมเข้าข้อนี้ได้)
ก็มา ฝึกฝน บ่มเพาะ ให้เลิก ละ มัน โดยมา ทำงานช่วยสังคม
ระหว่างนี้ ก็จะไม่มีการสูบในเครื่องแบบ เป็นอันขาด
(ถ้าอยากมาก จนทนไม่ไหว ก็ถอดเครื่องแบบออกไปสูบ)
นานๆเข้าก็ชิน ใส่เครื่องแบบ หรือไม่ใส่ ก็ไม่สูบ เป็นต้น
ระหว่างที่บ่มเพาะ นอกจากเรื่องศีล 10 ข้อแล้ว
ก็ต้องเรียนรู้ คุณธรรมพื้นฐานของชาวฉือจี้
ได้แก่
การสำนึกคุณ (กั่งเอิ๊น)
เมื่อมีการสำนึกคุณ
ก็จะมี จุ้นจ้ง(เคารพ ให้เกียรติผู้อื่น)
เกิด กตัญญู
เมื่อมีจุ้นจ้ง เราก็กลายเป็นคนที่อ่อนน้อม ถ่อมตนโดยอัตโนมัต
ตัวตน ลดลง โดยลำดับ
การฝึกช่วยเหลือคน
ไม่เลือกว่าเป็น คนชาติใด ภาษาใด นับถือศาสนาอะไร อยู่ที่ไหน
และโดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทนใดๆ
ทำให้เกิดความรัก
เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่(ต้าอ้าย) หรือ มหาเมตตา
เพราะเห็น ความจริงของสรรพชีวิต
ที่ต้องทนทุกข์อยู่ในโลก
ทำให้มีการดำรงชีวิต
อย่างซื่อสัตย์ สมถะ
เมตตาต่อตนเอง
เมตตาผู้อื่น
การใช้ชีวิต อย่างสมถะ เรียบง่าย
เพื่อให้มีเงินเหลือไปช่วยคนอื่น
เป็นการสะสมบุญให้กับตนเอง ให้ครอบครัว ให้สังคม และให้ประเทศชาติ
ธรรมต่างๆก็ ไหลตามมาโดยลำดับ
ธรรมเหล่านี้ สัมผัสได้ เวลาที่มันบังเกิดขึ้นในจิตใจ
ธรรมเหล่านี้จะเกิดไม่ได้ ถ้าไม่ออกปฏิบัติ ลงมือช่วยเหลือคน จริงจัง
เมื่อไม่บังเกิด จิต ก็ไม่รู้จักธรรมเหล่านี้
เมื่อจิตไม่ได้สัมผัสธรรมเหล่านี้ จิตก็ไม่ซาบซึ้ง
เมื่อจิตไม่ซาบซึ้ง ก็จะ ไม่สามารถสัมผัสกับ กระแสจิตของ
เหล่า อาสาสมัคร ชายหญิง รุ่น อาวุโสได้
และก็ไม่สามารถสัมผัส
กระแสจิตท่านธรรมมาจารย์ได้
เมื่อความซาบซึ้งไม่มี การปฏิบัติธรรม ก็มักท้อถอย
ไม่อยากทำ ทำไปทำไม เสียเวลา
อาสาสมัคร ท่านหนึ่ง ท่านใส่เสื้อสีเทา กางเกงขาว
มานานหลายปี เกิน เวลา 2 ปี ตามกติกาแล้ว
ท่านบอกว่า ท่านยังต้องบ่มเพาะอยู่
ใจท่านยังไม่มี เหรินหวุน มากพอที่ จะเป็น อาสาสมัคร เสื้อน้ำเงิน ได้
ขอฝึกต่ออีก
ท่านไม่เคย มาอ้อนวอนขอเป็นเสื้อน้ำเงิน
เพราะท่านเข้าใจแล้วว่า การเป็นเสื้อน้ำเงินหมายถึงอะไร
ขอบ่มเพาะต่อ จริงๆแล้ว ท่านทำงานหนักกว่าเสื้อน้ำเงินบางท่านอีก
เมื่อเทียบกับท่านแล้ว
ข้าพเจ้า รู้สึกอาย
เพราะข้าพเจ้าเป็นกรรมการแล้ว
ข้าพเจ้า ยังต้องเรียนจากท่าน อีกมากมาย
เมื่อ เดือน ธันวาคม 2553
ข้าพเจ้าไป "รับกรรมการ" (=โซ่วเจิ้ง หรือ Certification ceremony)
ข้าพเจ้าเห็น คนที่ไปรับ รับกรรมการ จำนวนมาก
ซาบซึ้งมาก ร้องไห้ ด้วยความปลื้มปิติ
ข้าพเจ้าเห็น แล้วก็ต้องร้องไห้ตาม
เส้นทางของ ชาวฉือจี้
มีความดี
มีความงาม
มีความจริง
มีความรัก
และ มีน้ำตา(จากความซาบซึ้ง)
(อันหลังข้าพเจ้าเพิ่มเอง)
ดูๆไปแล้ว การสวมเสื้อสีอะไร ก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไร
อยู่ที่ใจ การปฏิบัติตัวของเรา
ว่า ปฏิบัติ เหมือน คนสวมเสื้อสีอะไรมากกว่า
หรือ ปฏิบัติเหมือนคนที่ไม่ใช่ชาวฉือจี้เลย
ฆารวาสบางคน ใจท่านเป็น "พระใน เครื่องแบบ ฆารวาส"
และพระบางท่าน ใจท่านเป็น "ฆารวาส ในเครื่องแบบพระ"
พอนานๆเข้า สวมเสื้อสีอะไร ใส่เครื่องแบบอะไร
ชุดฉือจี้ หรือไม่ใช่ (สวมเครื่องแบบ อุบาสก หรือพระ หรือไม่ได้สวม)
เมื่อใจเราก็มี เหรินหวุน จนเป็นปกติ เป็นธรรมดาแล้ว
ถึงจะถือว่าสุดยอดของการปฏิบัติธรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น