วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

คุณหมออึ๊งโปยิน

คุณหมออึ๊งโปยิน
เป็นคนใหม่ด้วยหัวใจแห่งรักและกรุณา
Dr. Ng Poh Yin
Tapping the Wellsprings of Love and Compassion
โดย
Chen Ci Bao


ณัฐรัฐ ลีนะกิตติ
แปลจากนิตยสาร ฉือจี้ ฉบับภาษาอังกฤษ
Summer 2010



(รูป) (Huang Wen-Xing)

ความกรุณาเอ่อล้นจากส่วนลึกในหัวใจของคุณหมออึ๊งโปยินเมื่อได้เห็นการรักษาพยาบาลที่ไม่ทั่วถึงและสภาพความเป็นอยู่ของผู้รอดชีวิตจากเหตุกาณ์พายุไซโคลนนาร์กีสที่ประเทศพม่าซึ่งอยู่กันอย่างยากลำบาก ในฐานะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบปัสสาวะและสูตินรีแพทย์ อีกทั้งยังเป็นสมาชิกของสมาคมแพทย์อาสาฉือจี้นานาชาติ (Tzu Chi International Medical Association - TIMA) ขณะตรวจรักษาคุณหมอรู้สึกสงสารคนไข้เหล่านี้จับใจ และยังซาบซึ้งที่พวกเขาสำนึกบุญคุณ รอยยิ้มของคนไข้นั้นนำความสุขมาให้เธอและก่อให้เกิดความอบอุ่นมากมายอยู่ภายใน เป็นครั้งแรกในชีวิตที่คุณหมอรู้สึกขอบคุณคนไข้ที่ให้โอกาสเธอได้รักษา

คุณหมออึ๊งโปยินได้รับการทักทายด้วยเสียงร้องดังอย่างจริงใจว่า "ยินดีด้วยครับ/ค่ะ!" จากเหล่าอาสาสมัครที่ฟรีคลินิกฉือจี้ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย หนึ่งวันก่อนที่เธอจะบินไปประเทศไต้หวันเพื่อรับการรับรองวุฒิเป็นกรรมการหญิงของฉือจี้ คุณหมอยิ้มกว้างจนตาหยีแล้วเริ่มหัวเราะลั่น แต่แล้วก็เอามือปิดปากและกลั้นหัวเราะ “หมอขอโทษจริงๆ ค่ะ หมอไม่ควรหัวเราะเสียงดังอย่างนี้” คุณหมอพูดเสียงเบา “กรรมการอาวุโสหญิงบางคนบอกว่าในฐานะที่เป็นกรรมการหญิงนั้น หมอต้องทำตัวให้เหมาะสม หมอต้องพูดค่อยๆ ต้องไม่หัวเราะเสียงดัง ต้องไม่เดินไปกินไป หมอต้องไม่ทำอย่างนี้ไม่ทำอย่างนั้น หมอต้องทำตัวดีๆ”
เมื่อเห็นว่าคุณหมออึ๊งท่องคำพูดของกรรมการอาวุโสหญิงด้วยความจริงจังอย่างนั้นก็ทำให้ทุกคนเริ่มหัวเราะตามไปด้วย ครั้นความสนุกสนานครึกครื้นแผ่วลงบ้างแล้ว คุณหมออึ๊งจึงได้แสดงความขอบคุณจากใจจริงต่อเพื่อนๆ ที่รายล้อม คุณหมอกล่าวว่าการได้เข้าร่วมกับฉือจี้และร่วมฝึกอบรมเพื่อเป็นกรรมการหญิงนั้นทำให้ชีวิตของคุณหมอมีค่าและสมบูรณ์ยิ่งขึ้นจริงๆ

ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้
คุณหมออึ๊งเคยเป็นคนอารมณ์ร้อนมาก ที่โรงพยาบาลกัวลาลัมเปอร์เจเนอรัลซึ่งคุณหมอทำงานอยู่นั้น ไม่มีใครเลยอยากอยู่ใกล้ เพื่อนร่วมงานก็หลีกเลี่ยง แม้แต่คนไข้ก็พยายามอยู่ห่างๆ ไม่มีใครรู้ว่าอารมณ์ของคุณหมอจะระเบิดออกมาตอนไหนหรือเมื่อไรที่จะดุด่าคนรอบข้าง
“เวลาที่หมออารมณ์ไม่ดี หมอจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้แล้วก็จะลงเอากับพยาบาลหรือคนไข้” คุณหมอนึกย้อนความหลัง “บางครั้งหลังเลิกงาน อยู่ที่บ้านแล้วหมอก็ยังโกรธอยู่ ก็จะด่าว่าพวกเขาต่อไปหมอคิดอยู่เสมอว่าคนอื่นนั่นล่ะที่ทำผิด สมควรโดนหมอวีนใส่แล้ว”
พยาบาลบางคนไม่สามารถทนคุณหมออึ๊งได้ถึงกับทำเรื่องขอย้ายไปอยู่แผนกอื่น ถึงกระนั้นคุณหมออึ๊งก็ไม่เคยนึกเฉลียวใจเลยว่าเธออาจปฏิบัติต่อผู้อื่นไม่ถูกต้อง
วันหนึ่งๆ คุณหมอต้องรักษาคนไข้เป็นจำนวนมาก รวมถึงแรงงานต่างด้าวจากประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์และผู้ลี้ภัยจากพม่า สำหรับเธอแล้ว คนไข้ทั้งหลายเป็นภาระหนักอึ้ง คุณหมอคิดฝันว่าจะเป็นเรื่องยอดเยี่ยมขนาดไหนถ้าโลกนี้ไม่มีคนเจ็บไข้เลย ถ้าเป็นเช่นนั้นได้จริง เธอก็คงจะไม่ต้องทำงานหนักและชีวิตก็คงจะน่าอภิรมย์กว่านี้

(รูป) (Huang Bao-Fa) คุณหมออึ๊งใช้ชีวิตอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยพยายามอย่างดีที่สุดที่จะประหยัดกระดาษ น้ำ และไฟฟ้า และคุณหมอยังพกเอาอุปกรณ์ทานอาหารที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ไปด้วยในทุกที่ นอกจากนั้นยังเข้าร่วมกิจกรรมรีไซเคิล คุณหมอกล่าวว่ารู้สึกอิ่มใจทุกครั้งที่ถลกแขนเสื้อขึ้นแล้วมาช่วยแยกประเภทขยะรีไซเคิล

ได้พบฉือจี้
พ.ศ. 2550 คุณหมออึ๊งบังเอิญได้เข้าร่วมการประชุมประจำปีของสมาคมแพทย์อาสาฉือจี้นานาชาติ (สมาคมแพทย์ทีม่าฉือจี้) ที่ประเทศไต้หวัน ในงานประชุมเธอได้ฟังแพทย์จากหลากหลายประเทศแบ่งปันประสบการณ์งานอาสาที่ฟรีคลินิกของฉือจี้ คุณหมอรู้สึกสะเทือนใจอย่างมากเมื่อได้ฟังเรื่องที่คุณหมอท่านอื่นๆ เดินทางไปยังประเทศที่ห่างไกลด้วยทุนส่วนตัวเพื่อไปมอบความรักและความห่วงใยให้กับผู้ตกทุกข์ได้ยาก จิตวิญญาณแห่งความมีมนุษยธรรมของคุณหมอและการที่พวกเขาให้ความเอาใจใส่คนไข้ทั้งด้านร่างกายและจิตใจนั้นโดนใจคุณหมอเข้าอย่างจัง “ตอนนั้นหมอตระหนักว่าได้ทำอะไรไปน้อยเหลือเกินและสิ่งที่หมอทำในฐานะแพทย์นั้นช่างเล็กน้อยมาก หมอรู้สึกละอายใจที่คร่ำครวญเรื่องปริมาณงานที่ต้องทำตลอดเวลา สิ่งที่หมอทำไปเป็นแค่อะไรที่แสนจะเล็กน้อย แต่กลับนึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่มาก หมอยังห่างไกลการเป็นแพทย์ที่ดีอยู่มากจริงๆ”
หลังจากนั้น คุณหมอตัดสินใจอุทิศตนทำงานอาสาให้ฉือจี้ ในปีพ.ศ. 2551 คุณหมอเข้าร่วมกับแพทย์จากสมาคมแพทย์ทีม่าฉือจี้ท่านอื่นๆ และเดินทางไปประเทศพม่าเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านการแพทย์แก่ผู้รอดชีวิตจากพายุไซโคลนนาร์กีส เมื่อคุณหมอเดินทางถึงพื้นที่ที่เสียหายอย่างหนัก ก็ถึงกับผงะเมื่อได้เห็นสภาพอันแร้นแค้นของคนในท้องถิ่น กระท่อมที่พวกเขาเรียกว่าบ้านนั้น ไม่มีไฟฟ้า น้ำประปาและอาหาร สิ่งที่ทำให้คุณหมอประหลาดใจยิ่งขึ้นไปอีกคือชาวบ้านบางคนไม่เคยพบเจอหมอมาก่อนเลยในชีวิต พวกเขาไม่รู้ว่าหูฟังของแพทย์คืออะไร แล้วก็ไม่เคยทานยามาก่อนเลยแม้สักเม็ดเดียว คุณหมอจินตนาการไม่ออกเลยว่าถ้าพวกเขาเกิดป่วยไข้ขึ้นมา จะต้องทุกข์ทรมานขนาดไหน และตอนนั้นเองคุณหมอถึงได้เข้าใจว่าทำไมผู้ลี้ภัยชาวพม่าที่คุณหมอให้การรักษาที่คลินิกไม่คิดค่าใช้จ่ายในประเทศมาเลเซียถึงได้ให้ความเคารพเธอนัก สำหรับพวกเขาแล้ว การได้พบหมอนั้นเป็นพรอันมีค่ายิ่ง
ที่ประเทศพม่า คุณหมอพบกับผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย คุณหมอสังเกตเห็นว่าแม้ผู้หญิงคนนี้จะไม่มีโอกาสได้รับการรักษา แต่เธอก็ยังคงเข้มแข็งและมองโลกในแง่ดีทั้งๆ ที่จะต้องเผชิญกับความเจ็บป่วย การได้พบผู้ป่วยเช่นหญิงคนนี้ทำให้เกิดความกรุณาขึ้นในหัวใจของคุณหมออึ๊ง
ขณะให้การรักษาผู้รอดชีวิตจากพายุไซโคลน คุณหมอรู้สึกซาบซึ้งกับความสำนึกในบุญคุณที่พวกเขาแสดงออก รอยยิ้มที่ฉายบนใบหน้าของผู้รอดชีวิตเมื่อคุณหมอช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้นั้นทำให้คุณหมอปลื้มปีติและรู้สึกอบอุ่นอยู่ภายใน คุณหมอพบว่าเมื่อเธอเปิดใจและแสดงความห่วงใยอย่างแท้จริงต่อคนไข้ พวกเขาจะมอบความรักคืนกลับมาอย่างเต็มหัวใจ
ประสบการณ์นี้เปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างคนไข้กับหมอให้กับคุณหมออึ๊ง นับเป็นครั้งแรกที่คุณหมอรู้สึกขอบคุณคนไข้ที่ให้โอกาสเธอได้รักษา แทนที่จะรู้สึกว่าคนไข้เป็นภาระ คุณหมอได้พบแล้วว่าถ้าไม่มีคนไข้บนโลก ก็คงไม่จำเป็นต้องมีหมอเลย คุณหมอตัดสินใจว่าต่อไปจะไม่บ่นว่าหรือเกรี้ยวกราดกับคนไข้อีก แต่เธอจะร่วมแบ่งเบาความเจ็บปวดของคนไข้และดูแลพวกเขาด้วยความจริงใจอย่างที่สุดแทน

หัวใจที่อ่อนน้อมและเปี่ยมรัก
นอกจากทำงานอาสาให้ฉือจี้แล้ว คุณหมออึ๊งยังอ่านหนังสือของท่านธรรมาจารย์เจิ้งเอี๋ยนเพื่อช่วยโน้มนำจิตใจให้คิดพิจารณาและปฏิบัติตามคำสอนของท่านธรรมาจารย์อย่างจริงจัง ท่านธรรมาจารย์กล่าวว่า “ถ้าเราอยากให้ผู้อื่นยิ้มให้ ก็ควรต้องยิ้มก่อน” ดังนั้น เวลาอยู่ที่โรงพยาบาลแทนที่จะทำหน้าเฉยเมย คุณหมอจะทักทายผู้อื่นด้วยรอยยิ้ม ท่าทางของคุณหมอก็ค่อยๆ นุ่มนวลขึ้นเป็นลำดับ กลายเป็นคนอ่อนโยนขึ้น เมื่อพบคนไข้คุณหมอจะสนใจพื้นฐานครอบครัวด้วยและจะดูว่าคนไข้มีปัญหาด้านค่ารักษาพยาบาลหรือไม่ ถ้ามีคุณหมอก็จะช่วยคนไข้สมัครขอรับเงินช่วยเหลือของทางรัฐบาล เธอไม่ใช่คุณหมออึ๊งอารมณ์ร้อนที่ใครๆ ไม่อยากเข้าใกล้อีกต่อไป
ขณะทำงานแพทย์อาสาในพม่า คุณหมออึ๊งประทับใจที่อาสาสมัครฉือจี้ปฏิบัติต่อคนท้องถิ่นด้วยความรัก คุณหมอสงสัยว่าท่านธรรมาจารย์ได้จ่าย “ยาวิเศษ” อะไรให้กับอาสาสมัครจึงทำให้พวกเขาเปี่ยมไปด้วยความกรุณา ความรัก และความเบิกบานเช่นนี้ เพื่อจะหาคำตอบคุณหมอจึงหาเวลาเข้าร่วมกิจกรรมของฉือจี้ทุกประเภท ทั้งให้การรักษาโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย คัดเลือกขยะรีไซเคิล ไปเยี่ยมบ้านคนยากไร้ และเข้ารับการฝึกอบรมเพื่อให้ได้เป็นอาสาของฉือจี้ที่ได้รับการรับรอง
ยิ่งคุณหมอเข้าร่วมกิจกรรมของฉือจี้มากขึ้นเท่าไร คุณหมอก็ยิ่งรู้สึกว่าจิตใจเบิกบานมากขึ้นเท่านั้น คุณหมอได้สัมผัสความสุขของการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ในบรรดางานของฉือจี้คุณหมอชอบทำงานที่หน่วยรีไซเคิลมากเป็นพิเศษ คุณหมอกล่าวว่าขณะที่แยกขยะรีไซเคิลด้วยมือและใช้เท้าเหยียบกระป๋องอะลูมิเนียมและขวดเพ็ท (PET) ให้แบนนั้นจะรู้สึกอิ่มเอมใจ ความกังวลและหงุดหงิดรำคาญจะหายไปหมดสิ้น
ขณะเยี่ยมบ้านคนยากไร้พร้อมกับอาสาสมัครคนอื่น คุณหมอได้เห็นอาสาสมัครดูแลห่วงใยผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากและรับฟังพวกเขาเล่าความทุกข์อย่างใส่ใจ ตัวอย่างจากอาสาสมัครนั้นทำให้เธอเข้าใจว่าถึงแม้แพทย์ฝีมือดีจะรักษาความเจ็บป่วยทางกายของผู้ป่วยได้ แต่ก็ต้องอาศัยแพทย์ที่หัวใจเปี่ยมรักเท่านั้นจึงจะให้ความช่วยเหลือและกำลังใจกับผู้ป่วยได้อย่างแท้จริง
“เมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว หมอบังเอิญได้พบกับผู้ป่วยที่เคยตกเลือดรุนแรงขณะคลอด ถึงแม้ว่าเราจะรักษาชีวิตของแม่ไว้ได้ในท้ายที่สุด แต่ระหว่างคลอดตัวเด็กประสบกับอาการบาดเจ็บที่ไม่อาจรักษา ผลสุดท้ายผู้หญิงคนนั้นเสียสติไปและไม่อาจฟื้นคืนจากความบอบช้ำทางจิตใจได้อีก” คุณหมออึ๊งตั้งข้อสังเกตว่าถ้ามีอาสาสมัครฉือจี้มาช่วยหญิงผู้เป็นแม่ในเวลานั้น บางทีชะตากรรมของเธออาจเปลี่ยนไป ด้วยเหตุนี้คุณหมอจึงหวังจะชวนคนให้มาเข้าร่วมกับฉือจี้ให้มากขึ้น ถ้ามีอาสาสมัครมากขึ้นมาให้ความช่วยเหลือ จำนวนผู้คนที่ต้องทนทุกข์บนโลกนี้ก็จะได้รับความช่วยเหลือมากขึ้นด้วย แล้วโลกก็จะมีความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดน้อยลง

คำปฏิญาณ 3 ข้อ
หลังจากเดินทางไปประเทศพม่าในปีพ.ศ. 2551 คุณหมออึ๊งตั้งใจแน่วแน่ว่าจะหาบุคลากรด้านการแพทย์มาเข้าร่วมสมาคมแพทย์ทีม่าฉือจี้ให้มากขึ้น และนับแต่นั้นคุณหมอได้แนะนำแพทย์หกท่านให้เข้าร่วมกับทางสมาคม อย่างไรก็ตามคุณหมอหวังว่าจะสามารถหาสมาชิกให้ได้มากกว่านี้เพราะรู้สึกว่ายังมีผู้คนอีกมากที่ต้องการความช่วยเหลือ
“ทุกครั้งที่หมอได้ยินท่านธรรมาจารย์กล่าวว่าเวลาเหลือน้อยเต็มทีและเราจะต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าเพื่อทำสิ่งดีๆ ก่อนจะสายเกินไป หมอก็จะรู้สึกร้อนใจ” คุณหมอกล่าว “หมออยากให้มีหมอของสมาคมแพทย์ทีม่าฉือจี้อยู่ทุกหนทุกแห่งในประเทศมาเลเซียเหลือเกิน หมอจะต้องช่วยพัฒนาสมาคมแพทย์ทีม่าฉือจี้ในประเทศมาเลเซีย”
ในการจะทำให้ความปรารถนาของคุณหมอเป็นจริง คุณหมอใช้เวลาแบ่งปันเรื่องราวอันน่าประทับใจเกี่ยวกับสมาชิกของสมาคมแพทย์ทีม่าฉือจี้ให้กับบุคลากรการแพทย์ที่เธอรู้จัก เพื่อนร่วมงานของคุณหมอหลายคนเริ่มเข้าร่วมกิจกรรมของฉือจี้กับเธอ เช่นจัดตั้งฟรีคลินิก การคัดแยกของที่นำกลับมารีไซเคิลได้และไปเยี่ยมเด็กๆ ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า นอกจากนั้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเพื่อนร่วมงานที่จะไปร่วมงานของฉือจี้ คุณหมอถึงกับอาสาขับรถพาพวกเขาไปเลยทีเดียว
คุณหมอจะพกเอานิตยสารฉือจี้รายเดือนไปด้วยในทุกที่ และเล่าให้ผู้อื่นฟังเรื่องมูลนิธิทุกครั้งที่มีโอกาส “แต่ก่อนเวลาที่หมอรักษาคนไข้ หมอมักจะใช้เวลาอยู่กับพวกเขาให้น้อยที่สุด หมอแทบจะรอไม่ไหวที่จะให้คนไข้เก็บของกลับบ้านเมื่อการรักษาเสร็จสิ้นลง แต่เดี๋ยวนี้หมอสามารถพูดคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับฉือจี้ได้อย่างไม่รู้เบื่อและชักชวนพวกเขาให้ทำความดีและช่วยเหลือผู้อื่น”
หลังจากที่ได้รับการรับรองวุฒิให้เป็นกรรมการหญิงของฉือจี้ คุณหมออึ๊งให้คำปฏิญาณเพิ่มขึ้นอีก 3 ข้อ ได้แก่ จะทำความดีต่อไป จะเรียนรู้คำสอนของท่านธรรมาจารย์ให้มากที่สุดเพื่อเป็นแนวทางฝึกฝนตัวเองทางด้านจิตวิญญาณและเพื่อเป็นคนที่ดียิ่งขึ้น และจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นเข้าร่วมกับฉือจี้ คุณหมอรู้ว่าไม่ง่ายเลยที่จะทำให้ได้ตามคำปฏิญาณเหล่านี้ แต่ถ้าเธอสามารถช่วยทำให้โลกใบนี้ดีขึ้นได้ คุณหมอก็ไม่หวั่นเกรงงานหนักและเต็มใจอย่างยิ่งที่จะแบกรับหน้าที่ความรับผิดชอบที่มากกว่าเดิม

(รูป) (Zhuang Ji Wei) คุณหมออึ๊ง (แถวหน้าขวา) ประสานให้อาสาสมัครฉือจี้มาที่โรงพยาบาลกัวลาลัมเปอร์เจเนอรัลที่คุณหมออึ๊งทำงานอยู่ เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมให้กับบุคคลากรของโรงพยาบาล

1 ความคิดเห็น:

  1. Did you hear there's a 12 word phrase you can say to your partner... that will trigger intense feelings of love and instinctual attractiveness for you deep inside his chest?

    Because deep inside these 12 words is a "secret signal" that triggers a man's instinct to love, treasure and care for you with his entire heart...

    =====> 12 Words That Trigger A Man's Love Instinct

    This instinct is so built-in to a man's brain that it will make him work better than ever before to do his best at looking after your relationship.

    In fact, fueling this dominant instinct is so mandatory to having the best ever relationship with your man that the second you send your man a "Secret Signal"...

    ...You'll immediately find him open his heart and mind to you in a way he never experienced before and he'll perceive you as the one and only woman in the galaxy who has ever truly interested him.

    ตอบลบ