วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อาราธนา”เจ้าแม่กวนอิม ๑ องค์”มาประทับที่ราชบุรีในปี ๒๕๕๔






การพัฒนาระบบงานอาสาสมัครแนวทาง ฉือจี้ในจังหวัดราชบุรี
อาราธนา”เจ้าแม่กวนอิม ๑ องค์”มาประทับที่ราชบุรีในปี ๒๕๕๔
โดย นพ.สมบูรณ์ นันทานิช
รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ รพ.โพธาราม จ.ราชบุรี ๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๓
ข้าพเจ้าสนใจ ในเรื่องกิจกรรมพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมมานานแล้ว โดยเข้าร่วมกิจกรรมของชมรมจริยธรรม รพ.โพธารามมา กว่า ๑๐ ปี ปัจจุบันเป็นประธานชมรมจริยธรรม รพ.โพธาราม ข้าพเจ้ามีบุญวาสนาได้อ่านหนังสือธรรมและฟังธรรมของพระพุทธเจ้ามามากพอสมควรครั้งหนึ่งได้อ่านเรื่องกิจกรรมของมูลนิธิพุทธฉือจี้ประเทศไต้หวัน อ่านแล้วเกิดความรู้สึกสะเทือนใจว่า ยังมีชาวพุทธที่ “ทำถึงขนาดนี้เชียวหรือ” อยู่ในโลก ตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสจะเดินทางไปดูว่าเป็นจริงตามที่เขียนไว้หรือไม่
ด้วยบุญวาสนาอีกเช่นกัน หลังจากอ่านหนังสือนั้นได้ไม่ถึงปี ข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสไปไต้หวันเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ไปในฐานะอาสาสมัครอาสาสมัครฉือจี้ (เข้าใจว่า เป็นคนแรกของราชบุรี) แต่งชุดเสื้อเทากางเกงขาว ไปไม่ใช่ในฐานะคนภายนอกที่ไปดูงานอย่างที่คนอื่นๆเขาไปกัน นายแพทย์บุญเรียง ชูชัยแสงรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดราชบุรี และนายแพทย์บุญสืบ ลีนิวา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโพธารามสมัยนั้น เป็นผู้ที่ “ส่ง” และฝากข้าพเจ้ากับคุณสุชน แซ่เฮงและคุณเมตตา แซ่ชิว ให้พาข้าพเจ้าไป และขอให้ได้มีโอกาสได้เข้าพบท่านธรรมมาจารย์ และให้ได้ศึกษาข้อมูลเชิงลึกด้วย

ครั้งนั้นข้าพเจ้าพร้อมคณะได้ไปดูกิจกรรมต่างๆของชาวฉือจี้ ได้แก่ สถานีโทรทัศน์ต้าอ้าย สถานีแยกขยะ มหาวิทยาลัยฉือจี้คณะแพทย์ศาสตร์ฉือจี้ โรงเรียนมัธยมและโรงเรียนประถม ศูนย์วัฒนธรรมจิ้งซือ สุดท้ายได้ไปที่สมณารามที่พำนักของท่านพระภิกษุณีธรรมมาจารย์เจิ้งเอี๋ยน มีวาสนาได้เข้าพบท่าน ได้เห็นบุคคลที่มีเมตตาบารมีสูงส่ง มีบุคคลิกภาพที่งดงาม มีผลงานที่ยิ่งใหญ่ น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง ทั้งหมดนี้สมกับที่ได้ตั้งใจไว้ก่อนเดินทางมาไต้หวัน ระหว่างเดินทางกลับมาประเทศไทยก็ได้พูดคุยหารือกับคุณเมตตา แซ่ชิวและคุณสุชน แซ่เฮงถึงแผนการที่จะนำแนวคิดที่ได้จากการเยี่ยมชมกิจกรรมฉือจี้ที่ไต้หวัน มาดำเนินการปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมในประเทศไทย

คุณเมตตา แซ่ชิวและคุณสุชน แซ่เฮงได้แนะนำเรื่องการอบรมอาสาสมัครแบบฉือจี้เป็นจุดเริ่มต้น ส่วนกิจกรรมด้านต่างๆก็จะตามมาทีหลัง ข้าพเจ้าได้ปรึกษาทีมงานชมรมจริยธรรม โรงพยาบาลโพธาราม พวกเราเมื่อได้ทราบก็มีความสนใจเรื่องนี้มาก เป็นเรื่องความดีความงามที่ออกเป็นรูปธรรม ส่งผลต่อประชาชนและสังคมในวงกว้าง ซึ่งพวกเราไม่เคยคิดทำกันมาก่อน เคยทำก็อยู่ในกรอบการฝึกอบรมสมาธิวิปัสสนาซึ่งเป็นเรื่องของตัวเองทั้งนั้น งานของฉือจี้ก็เป็นอีกมิติหนึ่ง เรียกว่าปฏิบัติธรรมโดยการช่วยเหลือคนอื่น ช่วยเหลือสังคม ฝึกโดยให้คนอื่นเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้ผลสะท้อนกลับมาทำให้จิตใจเราอ่อนโยน เมื่อรักและเมตตาคนอื่นได้ คือรักเป็นแล้ว ก็จะสามารถรักครอบครัว รักพ่อแม่เป็น จิตใจของพวกเราก็จะ บริสุทธิมากยิ่งขึ้น เพราะทำแต่ความดีให้คนอื่น
พวกเรา(หมายถึงชมรมจริยธรรม โรงพยาบาลโพธารามและคณะวิทยากรจากมูลนิธิพุทธฉือจี้ในประเทศไทย)ได้จัดการฝึกอบรมอาสาสมัครฉือจี้ สำหรับคนไทยเป็นรุ่นแรกโดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากท่านนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดราชบุรี นายแพทย์บุญเรียง ชูชัยแสงรัตน์ ที่ จังหวัดเชียงราย เมื่อเดือน ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๑ ได้อาสาสมัครฉือจี้ใหม่กว่า 40 ท่านซึ่งมาจากชาวราชบุรี และชาวตำบลห้วยสัก อ.เมือง จังหวัดเชียงราย

ในกลุ่มอาสาสมัครรุ่นนี้มี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโพธาราม นพ.วันชัย ล้อกาญจนรัตน์ ข้าพเจ้า คุณสมจิตร ศักดิ์สิทธิกร หัวหน้าพยาบาล คุณนุชนารถ คงขำ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารด้วย วันสุดท้ายก่อนปิดการประชุม มีการให้กล่าวปณิธานของแต่ละคนว่าจะทำอะไรต่อไป เป็นช่วงเวลาที่น่าประทับใจมาก น่าจะบันทึกเทปแล้วถอดรวมเล่มไว้เผยแพร่ ชาวอาสาสมัครฉือจี้รุ่นก่อนๆทุกคนฟังแล้วดีใจ น้ำตาไหล แต่ขณะนั้นพวกเราทุกคนก็ไม่ทราบว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นในอีก ๑ ปีต่อมา

เดือนมกราคม ๒๕๕๒ เมื่อกลับมาพวกเราได้ประชุม ให้อาสาสมัครฉือจี้ที่โพธาราม เสนอครอบครัวผู้ยากไร้ที่พวกเราทราบในเขตอำเภอโพธาราม มาให้กลุ่มพวกเราพิจารณา จัดเรียงลำดับความเร่งด่วนว่า ใครลำบากมากที่สุด จากนั้นเสนอคณะกรรมการมูลนิธิพุทธฉือจี้เพื่อพิจารณารับเป็นครอบครัวบุญคุณ ในเดือนมกราคม ๒๕๕๒ นี้ถือเป็นเดือนที่ชาวฉือจี้จาก กทม ตื่นเต้นมาก สังเกตุได้จากการที่มีอาสาสมัครอาวุโสกันมามาก เกือบทั้งมูลนิธิก็ว่าได้ มาตรวจ Case มาทำพิธีรับกระปุกออมบุญจากสมาชิกที่โพธาราม มีการถ่ายรูปประวัติศาสตร์การเริ่มต้นกิจกรรมฉือจี้ เดือนต่อมา (เดือนกุมภาพันธ์)คณะกรรมการมูลนิธิพุทธฉือจี้ก็มีมติรับ Case ทั้งหมดที่เราเสนอ และเป็นที่น่าเสียใจว่า Case ที่ลำบากมากอันดับหนึ่งได้ถึงแก่กรรมก่อนหน้าการพิจารณารับไม่นาน อันนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ว่า การช่วยคนนั้นรอไม่ได้ ต้องทำทันที
คุณเมตตา แซ่ชิวและคุณสุชน แซ่เฮงและคณะจากกทมได้มานำอาสาสมัครฉือจี้ที่โพธาราม ออกดูแลครอบครัวบุญคุณ ๑๐ คน ใน ๗ ครอบครัว ในเขตอำเภอโพธาราม ครั้งแรกในเดือนมกราคม พ.ศ.2552 ทุกเดือนอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ระหว่างนี้ได้สอนพวกเรา อาสาสมัครฉือจี้ที่โพธาราม ให้รู้จักวิธีการดูแลครอบครัวบุญคุณแบบฉือจี้ โดยได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง จากนั้นให้เราทำตามไปด้วยกัน ถ้าใครไม่เคยทำงานแบบนี้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าก็จะไม่สามารถเข้าใจเรื่องการส่งมอบความรักจากอาสาสมัครฉือจี้สู่ครอบครัวผู้ยากไร้ได้ ระหว่างการทำงานก็จะมีการสอนวาทะธรรมของท่านธรรมมาจารย์ ถึงปัญหาที่เรากำลังกำลังเผชิญอยู่ว่า เรื่องนี้ท่านสอนว่าอย่างไร เมื่อข้าพเจ้าสัมผัสถึงความรักที่ได้ส่งมอบ ก็ได้นึกไปถึงสุดยอดวาทะธรรมที่มีชื่อเสียงไปทั่ว ที่ว่า

“ใต้หล้านี้ไม่มีใครที่ฉันไม่รัก
ใต้หล้านี้ ไม่มีใครที่ฉันไม่เชื่อใจ
ใต้หล้านี้ ไม่มีใครที่ฉันไม่ให้อภัย”
ก็เกิดความรู้สึกขนลุก ว่าท่านธรรมมาจารย์ท่านมีปณิธานจะมอบความรักให้ สรรพสัตว์ทั่วทั้งโลก
คุณบังอร แซ่เฉิน อาสาสมัครฉือจี้อาวุโสมากท่านหนึ่ง ท่านเดินทางมาจากไต้หวัน ได้มาออกเยี่ยมครอบครัวบุญคุณพร้อมกับพวกเราหลายครั้ง ครั้งหนึ่งระหว่างทำความสะอาดคุณยายที่เป็นอัมพฤกษ์ท่านหนึ่ง ซึ่งนอนคาอุจจาระปัสสาวะเต็มเตียง ขณะนั้น ข้าพเจ้ายืนดูข้างๆ ต้องกลั้นหายใจเพราะเหม็นมาก ข้าพเจ้าเป็นหมอ แต่ข้าพเจ้าไม่รู้จะทำอะไรให้กับยายคนนี้ ทำไม่ถูก คุณบังอรกล่าวว่า “คุณยาย ดิฉันมาจากไต้หวัน นำความรักจากท่านธรรมมาจารย์มามอบให้คุณยาย....” จากนั้นก็สัมผัส ช่วยเหลือ ทำความสะอาด และพูดคุยด้วยความอ่อนโยน ไม่ได้แสดงความรังเกียจ ทั้งทางสีหน้า ท่าทาง ทางวาจา (และใจ) ข้าพเจ้ายืนดูด้วยความสนใจ สังเกตุและจดจำ คุณยายคงนอนแช่อุจจาระปัสสาวะแบบนี้มานานทุกวันจนเคยชิน สีหน้าเฉยๆ แรกๆ ก็ฝืนๆ ไม่ไว้ใจพวกเรา ต่อมาไม่นาน พวกเราก็สามารถอุ้มคุณยายออกมาชำระที่อาบน้ำภายนอกห้องนอน ทำความสะอาด ขัดถูขี้ไคล ที่มีมากมายมหาศาล ข้าพเจ้าก็ไม่เคยเห็นมากขนาดนี้มาก่อน ข้าพเจ้าได้มีโอกาสช่วยขัดถูด้วย เมื่อชำระล้างเสร็จสวมชุดใหม่ ปะแป้งแต่งตัวหน้าตายิ้มแย้มผ่องใส มานั่งคุยกับพวกเรา เฮฮา ฟังพวกเราร้องเพลงครอบครัวเดียวกัน อวยพร โอบกอดลาจากกันอย่างมีความสุข แต่ละครอบครัวก็มีปัญหาต่างๆกัน มีการประชุม อภิปรายกันว่าจะให้การช่วยเหลืออย่างไรจึงจะเหมาะสม กิจกรรมออกเยี่ยมดูแลครอบครัวบุญคุณนี้ ได้รับการตอบรับจากอาสาสมัคร และชาวบ้านเป็นอย่างดีมาก มีคนแปลกหน้ามามุงดูพวกเราทำอะไรกัน เทศบาลแห่งหนึ่งได้จัดงบจ้างคนดูแลคุณลุงฉอ้อนโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นรายที่เรารับเป็นครอบครัวบุญคุณ โดยให้มีหน้าที่ต้องมาดูแลลุงฉอ้อนทุกวัน ลูกคุณยายที่พวกเราดูแล ก็กลับมาหา มาดูแลพ่อแม่ของเขาเช่นที่เห็นพวกเราดูแล มีคนเสนอ Case อีกมากมายมาให้เราดูแลเพิ่มอีก ทำให้เกิดการขยายงานให้กว้างขวางและลึกซึ้งขึ้น มีอาสาสมัครใหม่มาเพิ่มขึ้น มีกระปุกออมบุญมากขึ้น พวกเราเกิดความมั่นใจในทิศทางที่เรากำลังทำอยู่ว่าจะเกิดผลสะเทือน ขยายงานต่อไปได้


ในเมื่อเรามีอาสาสมัคร ประมาณ ๓๐ คน สามารถช่วยเหลือคนได้ ๑๐ คน ๗ ครอบครัว และยังมีผู้ที่เดือดร้อนอีกมากมายรอการช่วยเหลือจากเราอยู่ ปณิธานใหม่ก็คือ จะต้องเพิ่มจำนวนอาสาสมัครให้มากขึ้น ท่านธรรมมาจารย์เจิ้นเอี๋ยนเคยกล่าวว่า ถ้าเราสามารถมีจำนวนอาสาสมัครได้ถึง ๕๐๐ คน เท่ากับมีมือ ๑,๐๐๐ มือ เราจะมีจำนวนมือ เท่ากับเจ้าแม่กวนอิมที่มี ๑,๐๐๐ มือ แต่เหนือกว่าคือ ของเรามีชีวิตจริงๆ ๕๐๐ คน เมื่อออกช่วยเหลือคนได้ อาจได้มากเท่าเจ้าแม่กวนอิมจริงๆ คนที่อธิษฐานให้เจ้าแม่กวนอิมช่วยเหลือ ถ้าเราได้ทราบพวกเราทั้ง ๕๐๐ คนก็จะเข้าช่วยกันคนละไม้คนละมือ เราก็จะสามารถช่วยคนได้ดังที่เราเห็นกันอยู่ตรงหน้า นั่นคืออาจกล่าวในอีกนัยหนึ่งว่า เรามีปณิธานจะอาราธนา เจ้าแม่กวนอิมที่มีชีวิต สามารถช่วยคนได้จริงๆ ๑ องค์ เสด็จมาประทับที่โพธาราม เพื่อช่วยเหลือคนจังหวัดราชบุรี พวกเราอาสาสมัคร ๑ คนถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์น้อยๆที่ยังมีชีวิต ๑ คน แต่เมื่อรวมกัน ๕๐๐ คนอาจเทียบได้กับมีพระโพธิสัตว์ใหญ่ระดับเจ้าแม่กวนอิม(๑,๐๐๐ มือ) ๑ องค์นั่นเอง



ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2552 พวกเราก็ได้ร่วมจัดการอบรมอาสาสมัครฉือจี้ในประเทศไทยรุ่นที่ 2 ที่ศูนย์ฝึกอบรมบริษัทสินธานี จังหวัดเชียงราย ที่เดิม มีอาสาสมัครใหม่เพิ่มขึ้นอีกว่า 40 ท่าน จากโพธาราม จังหวัดราชบุรี จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดสงขลา


ครั้งที่ 2 ส่งผลให้เกิดการอบรมครั้งที่ 3 ที่จังหวัดสงขลา ได้อาสาสมัครเพิ่มขึ้นอีกกว่า 80 คน จากอ.โพธาราม อ.เมือง จังหวัดราชบุรี จังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดสงขลา เมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ.2553 ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ ผู้ประสานงานหลักเป็น คณะแพทยศาสตร์ มอ. ไม่ใช่ รพ.โพธาราม

และครั้งต่อไปครั้งที่ 4 ที่จะจัดขึ้นที่ สวนส้มทิพย์รีสอร์ท อ.วัดเพลง จ.ราชบุรี ในวันที่ 1-4 กรกฎาคม พ.ศ.2553 นี้ โรงพยาบาลโพธารามก็จะเป็นผู้ประสานงานหลัก ร่วมกับ โรงพยาบาลวัดเพลง สาธารณสุขอำเภอวัดเพลง สาธารณสุขจังหวัดราชบุรี คาดว่าจะมี อาสาสมัครเพิ่มอีกราว 80 คน

ตลอดระยะเวลาที่ทำงานร่วมกับมูลนิธิพุทธฉือจี้ ข้าพเจ้าและทีมงานที่โพธารามได้เรียนรู้ และพัฒนาตนเองด้านจิตใจเป็นอย่างมาก พวกเราได้พบกับความสุขจากการช่วยเหลือผู้อื่น รู้สึกสะเทือนใจและปลื้มปิติ ที่ได้สัมผัสความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า ของท่านธรรมาจารย์เจิ้นเอี๋ยน และของชาวฉือจี้ทั้งหลาย การได้ลงมือปฏิบัติเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ มากกว่าการได้เรียนรู้จากการอ่านหนังสือ หรือฟังคนเล่าให้ฟัง (แต่การเรียนรู้จากการอ่านก็สำคัญ) ตัวอย่างการลงมือปฏิบัติ ได้แก่ การออกเยี่ยมครอบครัวบุญคุณ ได้เห็นด้วยตนเอง ได้สัมผัส ได้ลงมือช่วยเหลือ ตั้งแต่การหยอดกระปุกออมบุญ การไปทำความสะอาดบ้าน ทำความสะอาดตัวบุคคลที่ไปเยี่ยม การให้ธรรมแด่ญาติผู้ป่วย การให้บริการ ผู้ป่วยและญาติที่มาโรงพยาบาล และล่าสุด สดๆร้อนๆ การออกรับการบริจาคเงิน จากคนทั่วไป ในกรณีแผ่นดินไหวที่ประเทศเฮติ นับเป็นการช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จักที่เดือดร้อน และอยู่ห่างไกลมาก ขณะที่พวกเรายืนถือกล่องรับบริจาคเงินที่ตลาดสดโพธารามเพื่อไป


ช่วยเหลือชาวเฮติ พวกเรารู้สึกว่าเราได้เป็นส่วนหนึ่งของการทำความดีของชาวฉือจี้ทั่วโลก บังเกิดความภาคภูมิใจที่ได้เป็นชาวฉือจี้ พวกเราได้เปลี่ยนเป็น “ชาวนาบุญ” ที่ขยันขันแข็ง ผู้ที่เดือดร้อนที่เราให้ความช่วยเหลือ เปรียบประดุจเป็น “นาบุญ” เป็นผู้มีพระคุณของเรา เพราะมีเขา พวกเราจึงมีโอกาสได้ทำบุญ ได้ฝึกจิตใจให้มีสมาธิโดยการเดินจงกรม ได้มีโอกาสปฏิบัติการ “ชำระจิตใจ” ให้บริสุทธ์ โดยการออกทำงาน อาสาสมัครช่วยเหลือคน ได้ออกช่วยเหลือสังคมโดยผ่านกระบวนการให้การศึกษาให้เยาวชนโดยทำค่ายเยาวชน ได้ฝึกจิตตนเองให้อ่อนน้อมถ่อมตน ได้ฝึกการเคารพธรรมชาติโดยการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ฝึกเคารพผู้อื่นทุกคน พิจารณาแล้วแทบไม่ต่างกับการปฏิบัติธรรมอย่างเข้มงวดที่มีทำกันในเพศนักบวช ในประเทศไทยหลายสำนักเลย บางเรื่องอาจจะทำได้มากกว่า เป็นระบบกว่า คำสอนของท่านธรรมจารย์เจิ้นเอี๋ยน ซึ่งเป็นพระภิกษุณี สายมหายาน ก็มีเนื้อหาแทบจะไม่แตกต่างจากคำสอนของพระภิกษุในนิกายเถรวาทในประเทศไทยเลย ท่านสอนไม่ให้ทำความชั่วทั้งปวงให้อยู่ในศีลอย่างน้อย ๑๐ ข้อ ให้ทำแต่ความดี และปฏิบัติจิตภาวนาให้จิตบริสุทธิ์ ในแนวทางที่ช่วยเหลือสังคม นำคำสอนของพระพุทธเจ้าออกมาใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ให้อยู่ในคัมภีร์ที่สูงส่งจับต้องไม่ได้ การปฏิบัติธรรมไม่ใช่ทำได้เฉพาะขณะอยู่ในวัดเท่านั้น บ้านโรงพยาบาล และโรงเรียนก็สามารถแปรให้เป็นสถานธรรมอันยิ่งใหญ่ได้

ชาวจังหวัดราชบุรีนับถือเจ้าแม่กวนอิมไม่ใช่น้อย สังเกตุจากมีคนจำนวนมากที่ขึ้นเขาวัดหนองหอย อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ไปกราบบูชารูปปั้นเจ้าแม่กวนอินที่งดงามมากที่ยอดเขา ตามที่เราเชื่อต่อๆกันมาว่าเมื่อมากราบอธิษฐานท่าน ขอให้ท่านช่วยเรื่องอะไรก็มักจะได้ตามที่ขอทุกประการ นั่นเป็นแค่ความเชื่อของคนที่เล่าต่อกันมา แต่ถ้ามีอาสาสมัครรวมได้ ๕๐๐ คนเป็นของจริงเห็นๆ ตัวเป็นๆ เช่นกลุ่มพวกเรานี้ และสามารถช่วยเหลือคนได้จริงๆอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่อิทธิฤทธ์ปาฏิหารย์ น่าจะส่งผลกระทบในทางบวกต่อสังคมชาวราชบุรีอย่างมหาศาลทีเดียว.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น