วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

เจ้าหน้าที่สังกัด กระทรวงพัฒนาการสังคมและความมั่นคงในมนุษย์ มาดูงานจิตอาสาแนวพุทธฉือจี้ ที่ รพ.โพธาราม จ.ราชบุรี ๒-๓ กย ๒๕๕๕

หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัว จาก ๓๖ จังหวัด เจ้าหน้าที่ศูนย์ประชาบดี  และเจ้าหน้าที่ในส่วนกลาง    ในนามของ สำนักป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้าหญิงและเด็ก  กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ  กระทรวงพัฒนาการสังคมและความมั่นคงในมนุษย์ จำนวน ๔๕ ท่าน นำคณะโดยท่านผู้อำนวยการ อ้น  คุณอนุกูล ปีดแก้ว  ได้มาดูงาน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในเรื่องจิตอาสา แนวพุทธฉือจี้ ในโรงพยาบาลโพธาราม จังหวัดราชบุรี ในวันที่ ๒-๓  กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๕








พวกเราได้พาคณะผู้มาดูงาน ไปเยี่ยม ครอบครัวบุญคุณของเรา คือ ป้าน้อย  ที่วัดโพธิ์ไพโรจน์


วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ฮู่อ้ายราชบุรี จัดตั้ง เสียลี่เพิ่ม อีก ๑ เสียลี่

เนื่องจากมีการขยายงานมาที่ อำเภอดำเนินสะดวก
มีสมาชิกมากขึ้น
เพื่อสะดวกในการประสานงาน ที่อำเภอดำเนินสะดวก
และดำเนินการทำกิจกรรม

ฮู่อ้ายราชบุรี
จึงจัดตั้ง กลุ่มเสียลี่เพิ่มขึื้น อีก. ๑  กลุ่มเสียลี่
ชื่อว่า
เสียลี่ดำเนินสะดวก
มีคุณขวัญตา ซึ่งเป็นกรรมการแล้ว เป็น หัวหน้าเสียลี่

ขณะนี้ ฮู่อ้ายราชบุรี
จึงมี ๓ กลุ่มเสียลี่
คือ
กลุ่ม ๑  ผูถี ๑
กลุ่ม ๒. ผูถี ๒
กลุ่ม ๓. ดำเนินสะดวก



ท่านที่อยู่ในภูมิลำเนาอำเภอดำเนินสะดวก
ให้ติดต่อที่คุณขวัญตาได้ครับ












วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ไปโรงพยาบาลทัพทัน จ.อุทัยธานี

กลุ่ม ฮู่อ้ายราชบุรี  ได้รับเชิญไป บรรยาย เรื่องจิตอาสา แนวพุทธฉือจี้
ที่ โรงพยาบาลทัพทัน  จ.อุทัยธานี
ในวันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๕

ได้รับการต้อนรับ  ดูแลเป็นอย่างดีเยี่ยม
จากคณะผู้จัดการประชุม คือ

นายแพทย์ ปรารถนา ประสงค์ดี  ผู้อำนวยการ รพ.ทัพทัน
คุณสรัญญา  ประสงค์ดี  นายกเทศมนตรี เทศบาลตำบลทัพทัน
คุณ จีรนัทธิ์ โพธิพฤกษ์ และคณะ

มีผู้เข้ามาประชุม ประมาณ ๙๕ ท่าน
เป็นจิตอาสา อสม. ผู้สูงอายุ  เจ้าหน้าที่ รพ.ทัพทัน และคณะนักเรียนมัธยม โรงเรียนทัพทัน
ช่วงเช้าเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดย อาสาสมัครฉือจี้ จากโพธาราม
เล่าถึงกิจกรรมที่ทำต่อเนื่องมาตลอด กว่า ๔ ปี และนพ.สมบุรณ์ นันทานิช
เล่าถึงความเป็นมาของจิตอาสาแนวฉือจี้ที่มาที่ รพ.โพธาราม
ช่วงบ่ายเป็นการแบ่งกลุ่มย่อย  เป็น ๔ กลุ่ม
ตามที่มาของผู้เข้าประชุม
แลกเปลี่ยนเรียนรู้
บรรยากาศการประชุม ดูอบอุ่น อบอวลไปด้วยความรัก


การเดินทางไปบรรยายที่ต่างจังหวัดไกลๆ
ก็เป็นสิ่งที่ ยากลำบากสำหรับ อาสาสมัครของเรา
ก็อยากให้ต้อนรับคนมาดูงานมากกว่า
เราไม่เหนื่อย  ให้คนมาเหนื่อยแทน
สองสามเดือนมานี้  มากันมากหลายคณะ
ก็เหนื่อยอยู่ดี
เราได้เคยปฏิเสธ ไปหลายจังหวัด เช่น อุดรธานี น่าน
เคยไปไกลแค่ นครสวรรค์
ครั้งนี้ เป็นครั้งแรก ที่มาไกลถึงอุทัยธานี
มาคิดดู  การที่เรา

ออกมาบรรยาย
ออกมา “ปรากฎตัว”  ก็คิดว่าเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์
ทั้งแก่ตนเอง และแก่ผู้อื่น คือ
๑.อาสาสมัครได้ ฝึกการนำเสนอ ทั้ง กาย วาจา และจิตวิญญาณ  ผ่านรูปแบบของ อาสาสมัครฉือจี้  การไปพูดคนเดียว
ก็ไม่สามารถสื่อ จิตวิญญาณ ความรู้สึก  ความซาบซึ้ง  ของ แก่นธรรมฉือจี้ได้
๒.อาสาสมัครได้เห็นการทำงานของ ที่ต่างๆ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร  ข้อดี ข้อด้อย ของเขา และของเรา มีอะไรบ้าง
๓.เป็นการ ทำบุญไปในตัว
๔.เป็นการสร้างเครือข่าย  ของ จิตอาสา  แม้ไม่ใช่ฉือจี้ แต่ก็ ยังเป็นเพื่อนฉือจี้   อนาคตก็อาจเป็นฉือจี้ได้












วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กระทรวง พม. กับ มูลนิธิฉือจี้


วันที่ 3 มีนาคม 2555
เวลา 16.00 น.
สถานที่ สมณารามจิ้งซือ(มูลนิธิพุทธฉือจี้สำนักงานใหญ่) เมืองฮวาเหลียน ไต้หวัน

เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่งคงของมนุษย์นำโดยท่านปลัดกระทรวงได้เข้าพบท่านธรรมาจารย์เจิ้งเอี๋ยน ณ ห้องรับรองที่สมณาราม
มีผู้ร่วมคณะจากทางกระทรวงร่วมแบ่งปันและขอคำชี้แนะ 4 ท่าน โดยคำถามโดยสังเขปเกี่ยวข้องกับการพัฒนาและบริหารองค์กรจนมีจำนวนอาสาสมัครมากมาย และมีระเบียบวินัย และสามารถกระจายไปตามชุมชน และสุดท้ายปลัดกระทรวงได้แบ่งปันและมีประเด็นรายงานต่างๆดังนี้

1  หากมีอาสาสมัครชาวไต้หวันมีใจเข้ามาทำงานจิตอาสาที่ประเทศไทย ทางกระทรวงสามารถช่วยเหลืออำนวยความสะดวกเรื่องการทำวีซ่าให้มีเวลาพำนักในราชอาณาจักรไทย ได้สองปี เพื่อลดปัญหาการที่อาสาสมัครต้องเดินทางเข้าออกประเทศไทยทุกๆสามเดือน
2  ในกรณีมีสิ่งของเพื่อบริจาคหรือบรรเทาภัยพิบัติ ทางกระทรวงยินดีช่วยเหลือเรื่องการงดเว้นภาษีนำเข้าโดยให้ทางมูลนิธิฯทำหนังสือผ่านทางกระทรวงต่างประเทศของไต้หวัน
3  ในอดีตไม่ทราบว่าทางฉือจี้ได้ก่อต้องโรงเรียนขึ้นที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเมื่อได้รับทราบแล้วจะพยายามผลักดันให้ประชาชนในพื้นที่และเจ้าหน้าที่ช่วยกันพัฒนาให้โรงเรียนฉือจี้เป็นโรงเรียนต้นแบบของประเทศไทย
4  ทางกระทรวงพัฒนาสังคมฯมีโครงการที่จะตั้งสถานีโทรทัศน์ซึ่งเป็นโทรทัศน์สีขาว หวังว่าทางโทรทัศน์ต้าอ้ายจะได้ให้การสนับสนุนเรื่องรายการที่จะนำเสนอ
5  ขอขอบคุณทางมูลนิธิฯที่ได้ให้การช่วยเหลือบรรเทามหาอุทกภัยเมื่อปีที่แล้ว(2011) ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงภัยบรรเทา

ท่านธรรมาจารย์เจิ้งเอี๋ยนให้โอวาท :

จากที่เมื่อสักครู่ได้ยินทุกท่านที่แบ่งปันแล้วรู้สึกได้ว่าทุกๆท่านนั้นเป็นผู้ที่มีความรักห่วงใยประชาชนอย่างเต็มเปี่ยม ฉือจี้ปีนี้ย่างเข้าสู่ปีที่46 ทุกๆเรื่องไม่มีแบ่งเล็กหรือใหญ่ฉันใด ทุกๆคนย่อมมีจิตที่เปี่ยมไปด้วยความรักเท่าเทียมกันฉันนั้น  ฉือจี้นั้นเกิดขึ้นมาจากหลักคิดทางศาสนา ประเทศไทยก็เป็นเช่นนี้  ความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาการเสียสละที่มีกำลังเพียงน้อยนิด แต่การเสียสละนั้นมาจากจิตที่เปี่ยมด้วยศรัทธาบริสุทธ์และทำสุดกำลังกายกำลังใจ  40กว่าปีมานี้จากเริ่มต้นเดินมาทีละก้าวๆทำมาเช่นนี้โดยตลอด  ฉือจี้เป็นองค์กรของศาสนาพุทธ ใช้ศีลเป็นกฎเกณฑ์ ทุกๆคนมีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของตน ฉือจี้ถึงแม้ว่าจะขยายสาขากว่า50ประเทศทั่วโลกและมีไม่น้อยที่นับถือศาสนาต่างๆกัน แต่ทุกคนมีจิตวิญญาณยึดมั่นในศาสนาของตน (คริสต์ อิสลาม) แต่ละประเทศนั้นๆ ใช้ความมุ่งมั่นตั้งใจศรัทธามาจากเบื้องลึกจริงๆ ไม่ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน นั่นก็คือใช้ความรักในการดูแลบริหาร ใช้ศีลเป็นกฎเกณฑ์ ชาวฉือจี้ทุกคนมีความรักในตนเองเป็นการดูแล บริหารตนเอง เครื่องแบบ การเดิน เป็นระเบียบเรียบร้อย เพราะทุกคนมีหลักศาสนาเป็นที่ตั้งจึงทำให้ทุกคน ร่วมใจ สามัคคี รักใคร่ปรองดอง ดูแลซึ่งกันและกัน ร่วมแรงสมานฉันท์ ต้องอยู่ร่วมกันโดยสันติสุข ศาสนาทุกศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันในโลกนี้และร่วมกันทำงานเสียสละ  รากฐานของฉือจี้ก็คือจิตใจที่เปิดกว้าง

ภารกิจของฉือจี้เริ่มต้นจากการกุศลเช่นเดียวกันกับกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ถ้าสวัสดิการของสังคมครบถ้วนสมบูรณ์ก็จะทำให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขอย่างไรก็ตามหากมีองค์กรภาคประชาชน(NGO) ด้วยก็จะยิ่ง ทำให้มีกำลัง ภาครัฐต้องส่งเสริมองค์กรภาคประชาชน ที่ใดมีภัยพิบ้ติหรือความทุกข์ยากเกิดขึ้น ในบางครั้งรัฐไม่สามารถที่จะไปได้ทันที หากมีองค์กรภาคประชาชนก็จะสามารถเข้าให้การช่วยเหลือได้ทันท่วงที การที่จะให้ภาครัฐสมบูรณ์มีความพร้อม ต้องมีจิตใจที่มีความรักที่ ยิ่งใหญ่ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน รัฐต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การบริหารงานก็จะเป็นไปด้วยความสามัคคีปรองดอง ยกตัวอย่างเช่น มีประเทศหนึ่งเป็นประเทศปกครองระบอบเผด็จการทหาร ประชาชนยากจนมาก ฉือจี้ไม่เคยมีปฎิสัมพันธ์กับประเทศนี้มาก่อน เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้มีประเทศหนึ่งประสบวาตภัยครั้งใหญ่ สูญเสียทั้งทรัพย์สินและชีวิตมากมาย ฉือจี้จะเข้าให้การช่วยเหลือภัย ต้องอ้อมไป ยังประเทศอื่นก่อน ชาวฉือจี้เป็นผู้นอบน้อมถ่อมตน ช่วงแรกรัฐบาลประเทศนั้นไม่อนุญาตให้องค์กรต่างประเทศเข้าไปแต่ชาวฉือจี้มีโอกาส ได้เข้าไปทำงานแต่ก็ได้รับอุปสรรคทำให้การช่วยเหลือไม่ราบรื่น แต่ทว่าในเวลาเดียวกันชาวฉือจี้ก็ได้ทำการช่วยเหลือประเทศอื่นด้วยทำให้ พวกเขาได้สังเกตุเห็นการทำงานของฉือจี้ รัฐบาลของประเทศแรกนั้นได้รู้แล้วว่าฉือจี้เป็นองค์กรที่ดีมากก็เกิดกลัวว่าภัยพิบัติใหญ่หลวงนี้ สิ่งของช่วยเหลือจากฉือจี้จะถูกนำไปให้ประเทศอื่น ทำให้ผู้นำประเทศนั้นได้ส่งหนังสือขอให้ฉือจี้มาช่วยเหลือภัยพิบัติ จนถึงขณะนี้การ ช่วยเหลือยังมีต่อเนื่องเช่นการสร้างโรงเรียน ช่วยเหลือเกษตรกร  เพราะรัฐบาลเข้าใจ ประชาชนก็สามารถยืนด้วยลำแข้งตนเองนี่คือวัฎจักร แห่งความรัก ดังน้นขณะนี้ประเทศนั้นกำลังดำเนินไปสู่หนทางแห่งความสงบสุข มีองค์กรที่เปี่ยมไปด้วยความรักทำงานอย่างเสียสละ รัฐบาลให้การสนับสนุน ก็จะทำให้ประเทศมั่งคั่ง สังคมช่วยกันดูแลประชาชน ทุกคนดูแลซึ่งกันและกัน กอปรกับรักษาความรักที่ไม่เห็น แก่ประโยชน์ส่วนตนตามหลักศาสนา ให้ทุกๆคนร่วมแรงเสียสละดัวยกัน

ที่ไต้หวันเริ่มจากการกุศล จากเงินทีละน้อยรวมกัน จึงเกิดการรักษาพยาบาล ขณะนี้มีโรงพยาบาลถึง 6 แห่งสร้างขึ้นที่ชนบท การเคารพชีวิตเป็นเป้าหมาย นอกจากยื้อยุดฉุดช่วยชีวิตแล้ว ก็ช่วยเหลือผู้ยากจนและผู้เจ็บป่วย โรงเรียนฉือจี้ที่อำเภอฝางมีประถมและมัธยม ปีหน้าก็จะขึ้นชั้นมัธยมปลาย หวังว่าในอนาคตจะมีวิทยาลัยอาชีวศึกษา ที่ไต้หวันยังมีชั้นอนุบาล ประถมถึงปริญญาเอกเป็นการศีกษาแบบ เต็มรูปแบบ โดยหวังให้สั่งสอนนักเรียนทุกคนให้เป็นผู้มีคุณธรรม นับตั้งแต่ศูนย์คุณธรรมของประเทศไทยเดินทางมาเยี่ยมชมฉือจี้ที่ไต้หวัน จนถึงขณะนี้มีคนไทยมาเยี่ยมชมฉือจี้แล้วเกือบหมื่นคน แสดงว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับคุณธรรมเป็นอย่างมาก การศึกษาของฉือจี้นั้นไม่เหมือนกับการศึกษาทั่วๆไป  ฉือจี้จะให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ชีวิต ชีวิตของเด็กไม่เป็นไปตามครรลอง ปัญหาสิ่งเสพติดในสถานศึกษาเหล่านี้เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณใกล้เคียงกับสามเหลี่ยมทองคำ ฉือจี้ได้เล็งเห็นว่าจะทอดทิ้งเด็ก นักเรียนเหล่านี้ไม่ได้แต่กลับต้องให้คำแนะนำ ให้เขาได้มีโอกาส สังคมจึงจะสงบสุขได้ การให้การศึกษากับนักเรียนต้องสามารถนำความรู้นั้น กลับไปที่บ้านที่ครอบครัว พ่อแม่ก็ต้องเรียนรู้ ฉือจี้ยังมีการศึกษาให้กับสังคม ที่จริงแล้วจะต้องให้การศึกษาลงไปยังชุมชนแบ่งปันจริยธรรม มนุษยธรรมแบบฉือจี้ หรือการเข้ากลุ่มอ่านหนังสือศึกษาธรรมะ ปลูกฝังคุณธรรมต่างๆให้กับชุมชนได้รับรู้ จากชุมชนขยายเป็นสังคม นี่คือการผลักดันการศึกษาของฉือจี้ในประเทศไต้หวัน ต้องลงลึกไปในชุมชนจึงจะเรียกได้ว่าเป็นการหยั่งราก

หลักปฎิบัตินิยมของศาสนาพุทธในประเทศไทยและไต้หวันแตกต่างกัน ที่ไต้หวันเน้นการเสียสละเพื่อสังคมและทำอย่างไรจึงจะแบ่งปัน คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้ทุกคนได้รับรู้ กระตุ้นความรักความเมตตาให้ออกมาจากใจ ขอเพียงในใจมีธรรมะก็คือจิตใจที่เต็มเปี่ยมด้วย ความเมตตากรุณา ก็จะยอมเสียสละ พุทธศาสนาต้องเดินเข้าหามวลชน ไม่ใช่ให้มวลชนมาช่วยเหลือศาสนา หากทุกท่านสามารถขับเคลื่อน เข้าสู่ชุมชน เริ่มต้นผลักดันให้มีจิตวิญญาณตามหลักพุทธศาสนาในทุกๆชุมชน ในประเทศไทยนั้นมีผู้ที่ยินดีช่วยเหลือผู้อื่นอยู่มากมาย ที่ประเทศไทยก็มีกลุ่มนักธุรกิจชาวไต้หวันอยู่ไม่น้อย เมื่อสักครู่นี้ที่ท่านกล่าวว่าจะใช้โทรทัศน์เป็นสื่อ ได้ยินเช่นนี้แล้วรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ฉือจี้มีสถานีโทรทัศน์ต้าอ้ายมาเผยแพร่พลังแห่งความรัก อีกทั้งยังมีการทำรีไซเคิลก็สามารถใช้โทรทัศน์เป็นสื่อในการเผยแผ่ความรู้ ให้ทุกคน ตระหนักถึงการรักษาสิ่งของเครื่องใช้และยืดอายุการใช้งาน การอนุรักษ์พลังงานและลดปริมาณการผลิตก๊าซพิษที่เป็นต้นเหตุของ ภาวะโลกร้อน ไม่ทำลายป่า อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไม่พัฒนาทางด้านวัตถุและใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือย ตัวอย่างเช่นการเก็บขวด พลาสติกนำมาทำเป็นผ้าห่ม  การใช้โทรทัศน์เป็นสื่อย่อมมีอิทธิพลมากกว่าการใช้คนไปบอกกล่าวและก็สามารถใช้รายการโทรทัศน์บอกให้ ทุกคนรู้ว่าการที่จะเป็นคนที่ช่วยเหลือผู้อื่นนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่มีเงินมากมาย ที่สำคัญนั้นคือจิตใจที่มีความรักของประชาชนทุกคน โทรทัศน์ต้าอ้ายมีละครที่มีเนื้อหาสาระสามารถอบรมให้ความรู้ขัดเกลาจิตใจคนได้ โทรทัศน์ต้าอ้ายสามารถรับชมได้ทั่วโลก หากแต่ขอให้ อย่าล็อคสัญญาณก็พอ คนมากมายก็จะรับชมได้ หากจะแปลรายการเป็นภาษาไทยให้คนอีกจำนวนมากสามารถเข้าใจได้นั้นก็เป็นสิ่งที่ดีมาก โทรทัศน์ต้าอ้ายเป็นเช่นกระแสธารบริสุทธิ์ ใช้ชี้นำทางให้จิตใจคน ใช้โทรทัศน์ก็จะสามารถแผ่ขยายได้ในวงกว้างหลายปีมานี้คนไทยมา เยี่ยมชมฉือจี้ที่ไต้หวันเป็นจำนวนมากต่อไปหากเปิดโทรทัศน์ก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่ไต้หวันก็สามารถเข้าใจฉือจี้ได้

จบการให้โอวาทและการสนทนา

誠請參閱: 3/3 泰國請示報告及泰國社會福利部參訪開示‏

下午四點半,泰國社會發展福利部與上人溫馨座談(於 上人新會客室),並由四位分享,分別詢問慈濟如何如此有規律、整齊及隊伍浩蕩長的志工,落實在社區,並最後由社會發展福利部次長向 上人分享以下五點:
1. 若有台灣志工要在泰國付出,可以協助發兩年的簽證,不用每三個月重新申請。
2. 若要免稅進口物資,可以透過台灣外交部發函,免稅進口。
3. 之前不知道清邁學校,現在會鼓勵芳線人口來護持這個學校,成為泰國的典範
4. 社會發展福利部今年要建立電視台(一樣播放清流節目),希望請大愛台協助
5. 感恩慈濟人去年給予泰國水患即時的援助

上人開示:

從剛才的分享,知道大家都很愛民。慈濟46年了,凡事不分大與小,人人都有共同的愛,慈濟 的開頭是個宗教理念,泰國也是這樣的國家。慈悲喜捨付出的力量小小的,但付出的很誠心,很盡心力。40多年,從開頭就是一步一步這樣的做。慈濟是佛教的團 體,是以戒為制度,人人都有宗教理念,慈濟雖普及在50幾個國家,雖很多人宗教不同,但人人有宗教的精神(回教、基督教),每個國家只要打從內心有誠懇的 心,沒有私心,就是以愛為管理,以戒為制度。每個人有自我愛的管理,穿、走就會很整齊,因為有宗教理念,就會很合心、和氣,互相關懷,協力。要共同和平共處,宗教在普天下可以共同去付出。慈濟的基礎就是開闊的心。

慈濟是從慈善開始,就像福利部一樣,福利部健全,就會造福人民。但少不了民間的團體,才能有力量。政府要支持民間的團體,那裡有災難、痛苦...政府無法隨時到,但民間團體可以即時協助,要讓政府健全起來,就要有個大愛無私的心,政府要互助,做起來就會合。舉例,在一個國家,比較有軍政府的生態,那個國家的民眾很窮,過去沒有互動。幾年前這個國家發生了大風災,損失很大,死了很多人,慈濟要繞 過其他國家才能抵達,慈濟人很低調,本來不允許任何人去,結果我們在付出的時候,剛開始,有點阻擋,慈濟工作就會不順暢,結果同時,我們在別的國家付出,他們觀察到了,這個政府知道慈濟是很好的團體,災難那麼大,怕慈濟的支援會往那個國家,結果總理室就發函來,請慈濟來幫忙。到現在還有在建設教育,幫助農 民。政府因為瞭解,人民也站立起來,這就是愛的循環。所以國家已經往安定的軌道。有愛的團體去付出,政府能支持,一定會讓國家富裕。社會照顧民眾,可以相輔相成。秉著宗教無私的愛,讓人人可以有共同的力量去付出。

在台灣是從慈善,小小錢的匯聚,才有醫療,現在有六家醫院,設立在鄉下,尊重生命的目標,搶救生命以外,也幫助有病及有貧的人。慈濟清邁有小學、中學,明年有高中,希望未來能有技術學院。在台灣我們有幼稚園、小學到大學,就是一貫教育,期待教 導他們道德教育。泰國道德中心這幾年有上萬人來參觀,代表泰國很注重道德這一塊。我們教育不一樣,就是要重視生活教育。孩子的生活脫軌,吸毒等,尤其是金三角這一帶。我們也有發現有這樣的學生在學校,不是放棄而是要輔導,社會才會祥和。小孩教育要帶回家庭,父母也要學習,我們還有社會教育,其實我們都會落 實社區,把慈濟人文、讀書會、人文道德跟社區分享,社區就會報到社會,才是我們慈濟為台灣社會做的教育推廣。能落實社區,才是根本。

泰國與台灣的佛教不一樣,台灣是為社會付出,如何把佛陀的教法跟人人分享,人人都要啟發愛心。只要心中有法,就有慈悲心,就會來付出。佛教是要走入人群,不是人群來幫助佛教。您們可以落實社區,從那裡來帶動佛教精神。在泰國願意幫助人的人很 多,我們也有台商在那,剛才說要用電視台,聽了很高興。我們有大愛電視台來傳播愛的力量,還有環保,透過電視可以宣導及愛惜物命、節能減碳。不要從大地開發資源,如保特瓶可以回收,毛毯再製。電視可以去宣得,由人去說法有限,但透過這樣的節目可以宣導,救人的人不一定很有錢,最重要是民眾的愛心,我們電視 有戲劇,有教育性的,大愛的衛星全球都收得到節目,只要您們不要把他鎖起來,很多人就可以看到大愛台。若要把節目翻譯成泰文,讓更多人看得懂,這都很好。大愛台是一股清流,要輔導人心,透過電視就會很普及。這幾年來泰國來台灣參訪的有幾萬人,有電視只要打開,就不用來台灣看慈濟。



無限感恩
泰國分會合十
TEL : (66)2-6421888 # 301
FAX : (66)2-6421890

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

นักเขียน จาก สถานีโทรทัศน์ ต้าอ้าย ประเทศไต้หวัน มาเยี่ยม รพ.ดำเนินสะดวก

เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๕
เวลา ๑๓.๓๐-๑๕.๔๕ น.
นักเขียนและช่างภาพจาก  สถานีโทรทัศน์ ต้าอ้าย ประเทศไต้หวัน
คือ Miss Cindy Tu  นักเขียน
และ Mr Lin Yen-Huang  ช่างภาพ

จากหน่วยงานที่เรียกว่า
Tzuchi Humanitarian Center
Chinese Publications Department
Tzuchi Foundation
ประเทศไต้หวัน


มาเยี่ยม รพ.ดำเนินสะดวก  จังหวัดราชบุรี


ได้สัมภาษณ์ นายแพทย์ สมบูรณ์ นันทานิช 
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลดำเนินสะดวก


ในเรื่องต่างๆ หลายเรื่อง  คงมีปรากฎในวารสารของมูลนิธิฉือจี้ ฉบับต่อๆไป
ผู้อำนวยการได้พาเยี่ยมชม รพ.ดำเนินสะดวก


ในการนี้ก็มี คุณสุชน แซ่เฮงเป็นล่าม
คุณส้ม และคุณปราณี ก็มาเป็นเพื่อนด้วย
บรรยากาศ อบอุ่นมาก
นอกจากนี้ เรายังได้รับความกรุณาจาก
อาจารย์ เภสัชกร ทศพล วิทิตกพัทธ์
(อาจารย์เหลียง ครูภาษาจีนกลาง ของ รพ.ดำเนินสะดวก มาช่วยเป็นล่ามด้วย)
















วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

คุณหมออึ๊งโปยิน

คุณหมออึ๊งโปยิน
เป็นคนใหม่ด้วยหัวใจแห่งรักและกรุณา
Dr. Ng Poh Yin
Tapping the Wellsprings of Love and Compassion
โดย
Chen Ci Bao


ณัฐรัฐ ลีนะกิตติ
แปลจากนิตยสาร ฉือจี้ ฉบับภาษาอังกฤษ
Summer 2010



(รูป) (Huang Wen-Xing)

ความกรุณาเอ่อล้นจากส่วนลึกในหัวใจของคุณหมออึ๊งโปยินเมื่อได้เห็นการรักษาพยาบาลที่ไม่ทั่วถึงและสภาพความเป็นอยู่ของผู้รอดชีวิตจากเหตุกาณ์พายุไซโคลนนาร์กีสที่ประเทศพม่าซึ่งอยู่กันอย่างยากลำบาก ในฐานะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบปัสสาวะและสูตินรีแพทย์ อีกทั้งยังเป็นสมาชิกของสมาคมแพทย์อาสาฉือจี้นานาชาติ (Tzu Chi International Medical Association - TIMA) ขณะตรวจรักษาคุณหมอรู้สึกสงสารคนไข้เหล่านี้จับใจ และยังซาบซึ้งที่พวกเขาสำนึกบุญคุณ รอยยิ้มของคนไข้นั้นนำความสุขมาให้เธอและก่อให้เกิดความอบอุ่นมากมายอยู่ภายใน เป็นครั้งแรกในชีวิตที่คุณหมอรู้สึกขอบคุณคนไข้ที่ให้โอกาสเธอได้รักษา

คุณหมออึ๊งโปยินได้รับการทักทายด้วยเสียงร้องดังอย่างจริงใจว่า "ยินดีด้วยครับ/ค่ะ!" จากเหล่าอาสาสมัครที่ฟรีคลินิกฉือจี้ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย หนึ่งวันก่อนที่เธอจะบินไปประเทศไต้หวันเพื่อรับการรับรองวุฒิเป็นกรรมการหญิงของฉือจี้ คุณหมอยิ้มกว้างจนตาหยีแล้วเริ่มหัวเราะลั่น แต่แล้วก็เอามือปิดปากและกลั้นหัวเราะ “หมอขอโทษจริงๆ ค่ะ หมอไม่ควรหัวเราะเสียงดังอย่างนี้” คุณหมอพูดเสียงเบา “กรรมการอาวุโสหญิงบางคนบอกว่าในฐานะที่เป็นกรรมการหญิงนั้น หมอต้องทำตัวให้เหมาะสม หมอต้องพูดค่อยๆ ต้องไม่หัวเราะเสียงดัง ต้องไม่เดินไปกินไป หมอต้องไม่ทำอย่างนี้ไม่ทำอย่างนั้น หมอต้องทำตัวดีๆ”
เมื่อเห็นว่าคุณหมออึ๊งท่องคำพูดของกรรมการอาวุโสหญิงด้วยความจริงจังอย่างนั้นก็ทำให้ทุกคนเริ่มหัวเราะตามไปด้วย ครั้นความสนุกสนานครึกครื้นแผ่วลงบ้างแล้ว คุณหมออึ๊งจึงได้แสดงความขอบคุณจากใจจริงต่อเพื่อนๆ ที่รายล้อม คุณหมอกล่าวว่าการได้เข้าร่วมกับฉือจี้และร่วมฝึกอบรมเพื่อเป็นกรรมการหญิงนั้นทำให้ชีวิตของคุณหมอมีค่าและสมบูรณ์ยิ่งขึ้นจริงๆ

ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้
คุณหมออึ๊งเคยเป็นคนอารมณ์ร้อนมาก ที่โรงพยาบาลกัวลาลัมเปอร์เจเนอรัลซึ่งคุณหมอทำงานอยู่นั้น ไม่มีใครเลยอยากอยู่ใกล้ เพื่อนร่วมงานก็หลีกเลี่ยง แม้แต่คนไข้ก็พยายามอยู่ห่างๆ ไม่มีใครรู้ว่าอารมณ์ของคุณหมอจะระเบิดออกมาตอนไหนหรือเมื่อไรที่จะดุด่าคนรอบข้าง
“เวลาที่หมออารมณ์ไม่ดี หมอจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้แล้วก็จะลงเอากับพยาบาลหรือคนไข้” คุณหมอนึกย้อนความหลัง “บางครั้งหลังเลิกงาน อยู่ที่บ้านแล้วหมอก็ยังโกรธอยู่ ก็จะด่าว่าพวกเขาต่อไปหมอคิดอยู่เสมอว่าคนอื่นนั่นล่ะที่ทำผิด สมควรโดนหมอวีนใส่แล้ว”
พยาบาลบางคนไม่สามารถทนคุณหมออึ๊งได้ถึงกับทำเรื่องขอย้ายไปอยู่แผนกอื่น ถึงกระนั้นคุณหมออึ๊งก็ไม่เคยนึกเฉลียวใจเลยว่าเธออาจปฏิบัติต่อผู้อื่นไม่ถูกต้อง
วันหนึ่งๆ คุณหมอต้องรักษาคนไข้เป็นจำนวนมาก รวมถึงแรงงานต่างด้าวจากประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์และผู้ลี้ภัยจากพม่า สำหรับเธอแล้ว คนไข้ทั้งหลายเป็นภาระหนักอึ้ง คุณหมอคิดฝันว่าจะเป็นเรื่องยอดเยี่ยมขนาดไหนถ้าโลกนี้ไม่มีคนเจ็บไข้เลย ถ้าเป็นเช่นนั้นได้จริง เธอก็คงจะไม่ต้องทำงานหนักและชีวิตก็คงจะน่าอภิรมย์กว่านี้

(รูป) (Huang Bao-Fa) คุณหมออึ๊งใช้ชีวิตอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยพยายามอย่างดีที่สุดที่จะประหยัดกระดาษ น้ำ และไฟฟ้า และคุณหมอยังพกเอาอุปกรณ์ทานอาหารที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ไปด้วยในทุกที่ นอกจากนั้นยังเข้าร่วมกิจกรรมรีไซเคิล คุณหมอกล่าวว่ารู้สึกอิ่มใจทุกครั้งที่ถลกแขนเสื้อขึ้นแล้วมาช่วยแยกประเภทขยะรีไซเคิล

ได้พบฉือจี้
พ.ศ. 2550 คุณหมออึ๊งบังเอิญได้เข้าร่วมการประชุมประจำปีของสมาคมแพทย์อาสาฉือจี้นานาชาติ (สมาคมแพทย์ทีม่าฉือจี้) ที่ประเทศไต้หวัน ในงานประชุมเธอได้ฟังแพทย์จากหลากหลายประเทศแบ่งปันประสบการณ์งานอาสาที่ฟรีคลินิกของฉือจี้ คุณหมอรู้สึกสะเทือนใจอย่างมากเมื่อได้ฟังเรื่องที่คุณหมอท่านอื่นๆ เดินทางไปยังประเทศที่ห่างไกลด้วยทุนส่วนตัวเพื่อไปมอบความรักและความห่วงใยให้กับผู้ตกทุกข์ได้ยาก จิตวิญญาณแห่งความมีมนุษยธรรมของคุณหมอและการที่พวกเขาให้ความเอาใจใส่คนไข้ทั้งด้านร่างกายและจิตใจนั้นโดนใจคุณหมอเข้าอย่างจัง “ตอนนั้นหมอตระหนักว่าได้ทำอะไรไปน้อยเหลือเกินและสิ่งที่หมอทำในฐานะแพทย์นั้นช่างเล็กน้อยมาก หมอรู้สึกละอายใจที่คร่ำครวญเรื่องปริมาณงานที่ต้องทำตลอดเวลา สิ่งที่หมอทำไปเป็นแค่อะไรที่แสนจะเล็กน้อย แต่กลับนึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่มาก หมอยังห่างไกลการเป็นแพทย์ที่ดีอยู่มากจริงๆ”
หลังจากนั้น คุณหมอตัดสินใจอุทิศตนทำงานอาสาให้ฉือจี้ ในปีพ.ศ. 2551 คุณหมอเข้าร่วมกับแพทย์จากสมาคมแพทย์ทีม่าฉือจี้ท่านอื่นๆ และเดินทางไปประเทศพม่าเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านการแพทย์แก่ผู้รอดชีวิตจากพายุไซโคลนนาร์กีส เมื่อคุณหมอเดินทางถึงพื้นที่ที่เสียหายอย่างหนัก ก็ถึงกับผงะเมื่อได้เห็นสภาพอันแร้นแค้นของคนในท้องถิ่น กระท่อมที่พวกเขาเรียกว่าบ้านนั้น ไม่มีไฟฟ้า น้ำประปาและอาหาร สิ่งที่ทำให้คุณหมอประหลาดใจยิ่งขึ้นไปอีกคือชาวบ้านบางคนไม่เคยพบเจอหมอมาก่อนเลยในชีวิต พวกเขาไม่รู้ว่าหูฟังของแพทย์คืออะไร แล้วก็ไม่เคยทานยามาก่อนเลยแม้สักเม็ดเดียว คุณหมอจินตนาการไม่ออกเลยว่าถ้าพวกเขาเกิดป่วยไข้ขึ้นมา จะต้องทุกข์ทรมานขนาดไหน และตอนนั้นเองคุณหมอถึงได้เข้าใจว่าทำไมผู้ลี้ภัยชาวพม่าที่คุณหมอให้การรักษาที่คลินิกไม่คิดค่าใช้จ่ายในประเทศมาเลเซียถึงได้ให้ความเคารพเธอนัก สำหรับพวกเขาแล้ว การได้พบหมอนั้นเป็นพรอันมีค่ายิ่ง
ที่ประเทศพม่า คุณหมอพบกับผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย คุณหมอสังเกตเห็นว่าแม้ผู้หญิงคนนี้จะไม่มีโอกาสได้รับการรักษา แต่เธอก็ยังคงเข้มแข็งและมองโลกในแง่ดีทั้งๆ ที่จะต้องเผชิญกับความเจ็บป่วย การได้พบผู้ป่วยเช่นหญิงคนนี้ทำให้เกิดความกรุณาขึ้นในหัวใจของคุณหมออึ๊ง
ขณะให้การรักษาผู้รอดชีวิตจากพายุไซโคลน คุณหมอรู้สึกซาบซึ้งกับความสำนึกในบุญคุณที่พวกเขาแสดงออก รอยยิ้มที่ฉายบนใบหน้าของผู้รอดชีวิตเมื่อคุณหมอช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้นั้นทำให้คุณหมอปลื้มปีติและรู้สึกอบอุ่นอยู่ภายใน คุณหมอพบว่าเมื่อเธอเปิดใจและแสดงความห่วงใยอย่างแท้จริงต่อคนไข้ พวกเขาจะมอบความรักคืนกลับมาอย่างเต็มหัวใจ
ประสบการณ์นี้เปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างคนไข้กับหมอให้กับคุณหมออึ๊ง นับเป็นครั้งแรกที่คุณหมอรู้สึกขอบคุณคนไข้ที่ให้โอกาสเธอได้รักษา แทนที่จะรู้สึกว่าคนไข้เป็นภาระ คุณหมอได้พบแล้วว่าถ้าไม่มีคนไข้บนโลก ก็คงไม่จำเป็นต้องมีหมอเลย คุณหมอตัดสินใจว่าต่อไปจะไม่บ่นว่าหรือเกรี้ยวกราดกับคนไข้อีก แต่เธอจะร่วมแบ่งเบาความเจ็บปวดของคนไข้และดูแลพวกเขาด้วยความจริงใจอย่างที่สุดแทน

หัวใจที่อ่อนน้อมและเปี่ยมรัก
นอกจากทำงานอาสาให้ฉือจี้แล้ว คุณหมออึ๊งยังอ่านหนังสือของท่านธรรมาจารย์เจิ้งเอี๋ยนเพื่อช่วยโน้มนำจิตใจให้คิดพิจารณาและปฏิบัติตามคำสอนของท่านธรรมาจารย์อย่างจริงจัง ท่านธรรมาจารย์กล่าวว่า “ถ้าเราอยากให้ผู้อื่นยิ้มให้ ก็ควรต้องยิ้มก่อน” ดังนั้น เวลาอยู่ที่โรงพยาบาลแทนที่จะทำหน้าเฉยเมย คุณหมอจะทักทายผู้อื่นด้วยรอยยิ้ม ท่าทางของคุณหมอก็ค่อยๆ นุ่มนวลขึ้นเป็นลำดับ กลายเป็นคนอ่อนโยนขึ้น เมื่อพบคนไข้คุณหมอจะสนใจพื้นฐานครอบครัวด้วยและจะดูว่าคนไข้มีปัญหาด้านค่ารักษาพยาบาลหรือไม่ ถ้ามีคุณหมอก็จะช่วยคนไข้สมัครขอรับเงินช่วยเหลือของทางรัฐบาล เธอไม่ใช่คุณหมออึ๊งอารมณ์ร้อนที่ใครๆ ไม่อยากเข้าใกล้อีกต่อไป
ขณะทำงานแพทย์อาสาในพม่า คุณหมออึ๊งประทับใจที่อาสาสมัครฉือจี้ปฏิบัติต่อคนท้องถิ่นด้วยความรัก คุณหมอสงสัยว่าท่านธรรมาจารย์ได้จ่าย “ยาวิเศษ” อะไรให้กับอาสาสมัครจึงทำให้พวกเขาเปี่ยมไปด้วยความกรุณา ความรัก และความเบิกบานเช่นนี้ เพื่อจะหาคำตอบคุณหมอจึงหาเวลาเข้าร่วมกิจกรรมของฉือจี้ทุกประเภท ทั้งให้การรักษาโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย คัดเลือกขยะรีไซเคิล ไปเยี่ยมบ้านคนยากไร้ และเข้ารับการฝึกอบรมเพื่อให้ได้เป็นอาสาของฉือจี้ที่ได้รับการรับรอง
ยิ่งคุณหมอเข้าร่วมกิจกรรมของฉือจี้มากขึ้นเท่าไร คุณหมอก็ยิ่งรู้สึกว่าจิตใจเบิกบานมากขึ้นเท่านั้น คุณหมอได้สัมผัสความสุขของการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ในบรรดางานของฉือจี้คุณหมอชอบทำงานที่หน่วยรีไซเคิลมากเป็นพิเศษ คุณหมอกล่าวว่าขณะที่แยกขยะรีไซเคิลด้วยมือและใช้เท้าเหยียบกระป๋องอะลูมิเนียมและขวดเพ็ท (PET) ให้แบนนั้นจะรู้สึกอิ่มเอมใจ ความกังวลและหงุดหงิดรำคาญจะหายไปหมดสิ้น
ขณะเยี่ยมบ้านคนยากไร้พร้อมกับอาสาสมัครคนอื่น คุณหมอได้เห็นอาสาสมัครดูแลห่วงใยผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากและรับฟังพวกเขาเล่าความทุกข์อย่างใส่ใจ ตัวอย่างจากอาสาสมัครนั้นทำให้เธอเข้าใจว่าถึงแม้แพทย์ฝีมือดีจะรักษาความเจ็บป่วยทางกายของผู้ป่วยได้ แต่ก็ต้องอาศัยแพทย์ที่หัวใจเปี่ยมรักเท่านั้นจึงจะให้ความช่วยเหลือและกำลังใจกับผู้ป่วยได้อย่างแท้จริง
“เมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว หมอบังเอิญได้พบกับผู้ป่วยที่เคยตกเลือดรุนแรงขณะคลอด ถึงแม้ว่าเราจะรักษาชีวิตของแม่ไว้ได้ในท้ายที่สุด แต่ระหว่างคลอดตัวเด็กประสบกับอาการบาดเจ็บที่ไม่อาจรักษา ผลสุดท้ายผู้หญิงคนนั้นเสียสติไปและไม่อาจฟื้นคืนจากความบอบช้ำทางจิตใจได้อีก” คุณหมออึ๊งตั้งข้อสังเกตว่าถ้ามีอาสาสมัครฉือจี้มาช่วยหญิงผู้เป็นแม่ในเวลานั้น บางทีชะตากรรมของเธออาจเปลี่ยนไป ด้วยเหตุนี้คุณหมอจึงหวังจะชวนคนให้มาเข้าร่วมกับฉือจี้ให้มากขึ้น ถ้ามีอาสาสมัครมากขึ้นมาให้ความช่วยเหลือ จำนวนผู้คนที่ต้องทนทุกข์บนโลกนี้ก็จะได้รับความช่วยเหลือมากขึ้นด้วย แล้วโลกก็จะมีความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดน้อยลง

คำปฏิญาณ 3 ข้อ
หลังจากเดินทางไปประเทศพม่าในปีพ.ศ. 2551 คุณหมออึ๊งตั้งใจแน่วแน่ว่าจะหาบุคลากรด้านการแพทย์มาเข้าร่วมสมาคมแพทย์ทีม่าฉือจี้ให้มากขึ้น และนับแต่นั้นคุณหมอได้แนะนำแพทย์หกท่านให้เข้าร่วมกับทางสมาคม อย่างไรก็ตามคุณหมอหวังว่าจะสามารถหาสมาชิกให้ได้มากกว่านี้เพราะรู้สึกว่ายังมีผู้คนอีกมากที่ต้องการความช่วยเหลือ
“ทุกครั้งที่หมอได้ยินท่านธรรมาจารย์กล่าวว่าเวลาเหลือน้อยเต็มทีและเราจะต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าเพื่อทำสิ่งดีๆ ก่อนจะสายเกินไป หมอก็จะรู้สึกร้อนใจ” คุณหมอกล่าว “หมออยากให้มีหมอของสมาคมแพทย์ทีม่าฉือจี้อยู่ทุกหนทุกแห่งในประเทศมาเลเซียเหลือเกิน หมอจะต้องช่วยพัฒนาสมาคมแพทย์ทีม่าฉือจี้ในประเทศมาเลเซีย”
ในการจะทำให้ความปรารถนาของคุณหมอเป็นจริง คุณหมอใช้เวลาแบ่งปันเรื่องราวอันน่าประทับใจเกี่ยวกับสมาชิกของสมาคมแพทย์ทีม่าฉือจี้ให้กับบุคลากรการแพทย์ที่เธอรู้จัก เพื่อนร่วมงานของคุณหมอหลายคนเริ่มเข้าร่วมกิจกรรมของฉือจี้กับเธอ เช่นจัดตั้งฟรีคลินิก การคัดแยกของที่นำกลับมารีไซเคิลได้และไปเยี่ยมเด็กๆ ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า นอกจากนั้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเพื่อนร่วมงานที่จะไปร่วมงานของฉือจี้ คุณหมอถึงกับอาสาขับรถพาพวกเขาไปเลยทีเดียว
คุณหมอจะพกเอานิตยสารฉือจี้รายเดือนไปด้วยในทุกที่ และเล่าให้ผู้อื่นฟังเรื่องมูลนิธิทุกครั้งที่มีโอกาส “แต่ก่อนเวลาที่หมอรักษาคนไข้ หมอมักจะใช้เวลาอยู่กับพวกเขาให้น้อยที่สุด หมอแทบจะรอไม่ไหวที่จะให้คนไข้เก็บของกลับบ้านเมื่อการรักษาเสร็จสิ้นลง แต่เดี๋ยวนี้หมอสามารถพูดคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับฉือจี้ได้อย่างไม่รู้เบื่อและชักชวนพวกเขาให้ทำความดีและช่วยเหลือผู้อื่น”
หลังจากที่ได้รับการรับรองวุฒิให้เป็นกรรมการหญิงของฉือจี้ คุณหมออึ๊งให้คำปฏิญาณเพิ่มขึ้นอีก 3 ข้อ ได้แก่ จะทำความดีต่อไป จะเรียนรู้คำสอนของท่านธรรมาจารย์ให้มากที่สุดเพื่อเป็นแนวทางฝึกฝนตัวเองทางด้านจิตวิญญาณและเพื่อเป็นคนที่ดียิ่งขึ้น และจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นเข้าร่วมกับฉือจี้ คุณหมอรู้ว่าไม่ง่ายเลยที่จะทำให้ได้ตามคำปฏิญาณเหล่านี้ แต่ถ้าเธอสามารถช่วยทำให้โลกใบนี้ดีขึ้นได้ คุณหมอก็ไม่หวั่นเกรงงานหนักและเต็มใจอย่างยิ่งที่จะแบกรับหน้าที่ความรับผิดชอบที่มากกว่าเดิม

(รูป) (Zhuang Ji Wei) คุณหมออึ๊ง (แถวหน้าขวา) ประสานให้อาสาสมัครฉือจี้มาที่โรงพยาบาลกัวลาลัมเปอร์เจเนอรัลที่คุณหมออึ๊งทำงานอยู่ เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมให้กับบุคคลากรของโรงพยาบาล

สโลแกนจิตอาสา ร.พ ราชบุรี

สโลแกนจิตอาสา ร.พ ราชบุรี เอื้อเฟื้อ เมตตา อาสาช่วยงาน บริการด้วยนำใจ



บทกลอนที่แต่งให้จิตอาสา

จิตอาสา พาใจ ให้เป็นสุข

จิตอาสา ช่วยคลายทุกข์ คลายความเหงา

จิตอาสา พาได้บุญ หนุนนำเรา

จิตอาสา ช่วยแบ่งเบา ภาระงาน

ใช้เวลาว่าง ทำบุญ คุณประโยชน์

ไม่มัวโกรธ เกลียดใคร คอยเผาผลาญ

ทำจิตใจ ให้เป็นสุข สนุกกับงาน

พาเบิกบาน อายุมั่น ขวัญยืนเอย


(แต่งโดย คุณรัตนา ทรัพย์ประเสริฐ ratanasub4@gmail.com
พยาบาล รพ.ราชบุรี อาสาสมัครฉือจี้ ราชบุรี)