เป็นข่าวกิจกรรมของกลุ่ม อาสาสมัครฉือจี้ เขตราชบุรี บันทึกความก้าวหน้า สื่อสาร เผยแพร่ ข่าวสารให้ผู้ที่สนใจ กิจกรรมจิตอาสาแนวพุทธฉือจี้ ทราบและมาร่วมงานกัน
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
นิราศไต้หวัน ตอนที่ 1 สถานีโทรทัศน์ต้าอ้าย
นิราศไต้หวัน ตอนที่ 1 สถานีโทรทัศน์ต้าอ้าย
(บันทึกการเดินทางของ นายแพทย์สมบูรณ์ นันทานิช โรงพยาบาลโพธาราม ราชบุรี)
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปไต้หวันอย่างไม่ได้วางแผนมาก่อนเมื่อวันที่ ๑๙ ถึงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ โดยได้ร่วมไปกับคณะของ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้(องค์กรมหาชน) ซึ่งเป็นหน่วยงานสังกัด สำนักนายกรัฐมนตรี เรียกชื่อสั้นๆว่า “ศูนย์คุณธรรม” นำทีมโดยท่านอดีตรองนายกรัฐมนตรี นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม และพลอากาศเอก วีรวิท คงศักดิ์ ท่านผู้อำนวยการศูนย์ อาจารย์ นราทิพย์ พุ่มทรัพย์ ก็ร่วมเดินทางไปด้วย กลุ่มที่ไปครั้งนี้เน้น กลุ่มสื่อสารมวลชนของประเทศไทย ให้ไปดูตัวอย่าง “สื่อสีขาว” ของมูลนิธิพุทธฉือจี้ ประเทศไต้หวัน ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงมีโอกาสได้ร่วมดูงานกับคนที่อยู่ในวงการสื่อโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน เช่น คุณผุสชา โทณะวนิก เป็นต้น
ศูนย์คุณธรรม นำคณะคนไทยมาดูงานที่มูลนิธิพุทธฉือจี้ประเทศไต้หวัน ครั้งนี้เป็นคณะที่ ๑๐ แล้ว ในรอบ ๓ ปีที่ผ่านมานี้ อาจารย์นราทิพย์ บอกว่า ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของแผนแล้ว เพราะงบประมาณหมดแล้ว และมีแนวโน้มว่า คงไม่สามารถของบได้อีกแล้วเพราะรัฐบาลยุคหลังๆไม่มีใครให้ความสนใจเรื่องพวกนี้อีก คนที่มาในคณะนี้ ศูนย์คุณธรรมเป็นสปอนเซอร์ทุกอย่าง ส่วนข้าพเจ้านั้น ไม่ใช่มาในฐานะคณะของศูนย์คุณธรรม ข้าพเจ้ามาในฐานะของอาสาสมัครมูลนิธิพุทธฉือจี้ !
ตอนที่ข้าพเจ้าไป ก็ไม่ได้ทราบมาก่อนว่าตัวเองได้รับการยอมรับเป็นอาสาสมัครฉือจี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทราบภายหลังว่าท่านนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดราชบุรี นายแพทย์บุญเรียง ชูชัยแสงรัตน์ ได้คุยกับคุณสุชน แซ่เฮง และคุณเมตตา แซ่ชิว อาสาสมัครฉือจี้ อาวุโส ประจำประเทศไทย ที่มาเป็นวิทยากร บรรยาย งานจิตอาสาที่โรงพยาบาลโพธาราม เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ ว่าอยากให้ ข้าพเจ้าไปดูงานกิจกรรมของ มูลนิธิพุทธฉือจี้ที่ประเทศไต้หวัน และต้องให้ดูให้ได้ลึกซึ้ง ถึงแก่นแท้ขององค์กร ให้สามารถเข้าพบท่านธรรมมาจารย์ให้ได้ หรือถึงขนาดให้สามารถเข้าพบพูดคุยได้ด้วย ถ้าเป็นไปได้ คุณสุชน ก็เลยแนะนำว่าให้ไปพร้อมคณะของศูนย์คุณธรรม นี้เลย บนโต๊ะอาหารเที่ยงที่โรงพยาบาลโพธาราม ข้าพเจ้าจึงถูกเชิญให้ไปไต้หวัน ตอนนั้นก็งงๆอยู่ คิดว่าพูดกันเล่นๆหรือเปล่า ข้าพเจ้าหันหน้ามาถามพี่บุญสืบเล่นๆ ว่าถ้าผมจะไป จะให้ไปหรือไม่ ท่านก็เมตตาอนุญาตจริงๆ ข้าพเจ้าจึงตอบตกลงไป (หลังจากข้าพเจ้าโทรไปขออนุญาตเจ้านายที่บ้านแล้ว) เมื่อรับประทานข้าวเสร็จก็มอบพาสปอร์ตข้าพเจ้าให้ไปทำวีซ่าเลย บอกคุณสุชน ว่าค่าใช้จ่ายส่วนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารับผิดชอบเอง(ประมาณสามหมื่นบาท) ตอนเย็นกลับมาถึงบ้านคิดว่า “เอ เราตัดสินใจเร็วไปหรือเปล่านะ”
คุณเมตตาบอกว่า ศูนย์คุณธรรมเคร่งครัดมาก ไม่ยอมให้ใครเพิ่มชื่อไปในคณะเขา ถ้าไม่ได้อยู่ในรายชื่อที่เชิญไว้ แต่คนที่ประสานงานกับทางไต้หวันที่จะพาคณะไปคือคุณสุชนและคุณเมตตา ดังนั้นข้าพเจ้าก็ไปในนามของ คณะอาสาสมัครฉือจี้ ในประเทศไทย ที่พาศูนย์คุณธรรมไปดูงาน ในระหว่างไปดูงาน ๔ วัน ข้าพเจ้าจึงเป็นอาสาสมัครฉือจี้นอกทะเบียน (เพราะยังไม่มีชื่อในทะเบียนว่าเป็นอาสาสมัครฉือจี้) ข้าพเจ้าต้องแต่งกายให้ถูกระเบียบของอาสาสมัครฉือจี้ทุกประการ คือเสื้อสีเทา กางเกงสีขาว เข็มขัดฉือจี้ รองเท้าขาว ถุงเท้าขาว เสื้อต้องติดกระดุมทุกเม็ด เรื่องเครื่องแบบคุณเมตตาจะเอามาให้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ (ก่อนขึ้นเครื่องต้องเปลี่ยนใส่เครื่องแบบที่ห้องน้ำสนามบิน) ข้าพเจ้าต้องวางตัว ให้มีกิริยามารยาทเรียบร้อย ตามธรรมเนียมของอาสาสมัครฉือจี้ทุกประการ เขาเปรียบเทียบคนที่เข้าเป็นสมาชิกใหม่ใช้คำว่าเป็น “ลูกไก่” และต้องมี “แม่ไก่”คอยดูแล ระหว่าง ๔ วันที่ไปไต้หวันนี้ ไม่มีใครมาบอกข้าพเจ้าว่า ฉันเป็นแม่ไก่คอยดูแลเธอนะ ข้าพเจ้าก็คาดเดาดู คิดเองว่า คงเป็นคุณ เมตตา แซ่ชิว แน่เลย เพราะแกคอย ดูแลข้าพเจ้า ดูการแต่งตัว คอยแนะนำว่า ต้องทำอย่างไร อะไรไม่ให้ทำ พาไปที่ที่เราอยากไป คุณเมตตาบอกว่า ธรรมเนียมของเขา ถ้าคนใหม่ทำอะไรผิดเขาจะไม่มีการตำหนิกัน แต่เขาจะถามกันว่าใครเป็น “แม่ไก่” และ “แม่ไก่” จะโดนตำหนิแทน
เป็นความตั้งใจของข้าพเจ้าว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะต้องไปประเทศไต้หวัน หนึ่งเพราะอยากมากราบ เจดีย์ที่เก็บอัฐิธาตุของ สมณะเฮี่ยงจัง (พระถังซัมจั๋ง) เพื่อระลึกถึงบุญคุณของท่าน ท่านเป็นผู้ที่ฝ่าอันตราย ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกจากประเทศอินเดีย ไปประเทศจีน ท่านเป็นมหาวีรบุรุษของประเทศจีนสมัยราชวงศ์ถัง ท่านเป็นมหาวีรบุรุษของพระพุทธศาสนาระดับสากล แม้ศาสนาพุทธจะสูญหายไปจากประเทศอินเดีย คนศาสนาอื่นได้ทำลายสังเวยชนียสถานและกลบฝังให้หายสาบสูญไปกว่า ๗๐๐ ปี แต่เพราะท่านทำให้ศาสนาพุทธไปประดิษฐานมั่นคงที่ประเทศจีน ทำให้มนุษยชาติอีกหลายพันล้านคนได้มีโอกาสฟังธรรมของพระพุทธเจ้า จดหมายเหตุการเดินทางของท่านสมณะเฮี่ยงจังทำให้ค้นพบสังเวชนียสถานของพระพุทธเจ้าทุกแห่งที่ประเทศอินเดีย เมื่อพวกเราได้ไปกราบสังเวชนียสถานที่อินเดีย เราจะระลึกถึงบุญคุณท่านทุกครั้ง หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ อัฐิธาตุของท่านถูกพบและถูกย้ายไปญี่ปุ่น และถูกย้ายมาอยู่ที่ไต้หวันในปัจจุบัน เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านประวัติของพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหลายพระองค์ ทั้งทางนิกายเถรวาทและมหายาน ข้าพเจ้าจะรู้สึกสะเทือนใจและประทับใจมาก ในวีรกรรม ที่ท่านได้กระทำมาแล้ว อย่างชนิดที่ เราจะคาดไม่ถึงว่าจะมีใครในโลกทำอย่างนี้ได้ ข้าพเจ้าต้องอุทานในใจว่า “ทำถึงขนาดนี้ เชียวหรือ” ในสายมหายานนอกจาก ท่านเฮี่ยงจังแล้ว ก็ยังมีอีกหลายองค์และองค์ที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้องค์หนึ่ง คือ ท่านพระภิกษุณี ธรรมาจารย์ เจิ้งเหยียน ผู้นำทางจิตวิญญาณของ เหล่าอาสาสมัครพุทธฉือจี้นี้เอง เมื่อข้าพเจ้าอ่านหนังสือประวัติและงานของท่านที่ไต้หวันแล้ว “ทำถึงขนาดนี้ เชียวหรือ” ก็ปรากฎขึ้นในดวงใจข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เกิดความตั้งใจว่าในชีวิตนี้ต้องไปไต้หวันดูผลงานของท่านให้เห็นกับตา และกราบท่านให้จงได้
วันแรก วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ต้องตื่นตั้งแต่ตี ๒ เพื่อให้ไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิก่อนตี ๔ เพื่อขึ้นเครื่องหกโมงเช้า(๐๖.๔๕ น.) สายการบินไชน่าแอร์ไลด์ เที่ยวบินที่ CI๐๐๖๘ ถึงสนามบินเจียงไคเช็ค เวลาประมาณ ๑๑.๒๕ น. อาหารเช้าบนเครื่องบิน คุณส้ม (อาสาสมัครฉือจี้ที่ทำหน้าที่จัดการเรื่องการเดินทางทั้งหมด)ได้สั่งอาหารเจให้อาสาสมัครฉือจี้ทุกคน เป็นกติกาที่ผมทราบภายหลังว่า อาสาสมัครฉือจี้ทุกคนต้องรับประทานมังสะวิรัติ ถึงเวลาอาหาร แอร์โฮสเตส ได้นำอาหารเจมาเสริฟก่อน อาสาสมัครฉือจี้ทุกคนได้หมดยกเว้นข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ชะเง้อรอเท่าไหร่ก็ไม่มา สุดท้ายจนทั้งลำเขาได้รับประทานกันทุกคนแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้อาหาร จึงถามเขา ปรากฏว่า จ่ายกล่องอาหารเจผิดคน ไปให้คนที่นั่งหลังข้าพเจ้า และเขาก็รับประทานหมดเรียบร้อยแล้ว อาหารที่เหลือบนเครื่องเป็นอาหารที่ไม่เจ ถ้าต้องการอาหารเจ เขาจะทำมาม่าเจมาให้แทน ข้าพเจ้าจึงขอไม่รับมาม่าเจ (แหมเสียเงินมานะจ๊ะ จะมารับประทานมาม่าบนเครื่องได้อย่างไร-ข้าพเจ้าคิด) มื้อนี้ขอรับประทานอาหารทั่วไปก่อนก็แล้วกัน (“แหม นึกว่าเคร่ง” พวกแอร์โฮสเตสคงคิด) ระหว่างนี้พวกแอร์สาวๆทั้งหลายวุ่นวายกันทั้งลำ พูดภาษาจีนกันโฉงเฉง ทางหัวหน้าแอร์ ดูอาวุโสมีอายุ ได้มาขอโทษข้าพเจ้า เรื่องนี้คงทราบไปถึงคุณส้ม เที่ยวกลับหัวหน้าแอร์ มาดูแลการจ่ายอาหารเจด้วยตนเอง
เมื่อถึงสนามบิน ผ่าน ด่านตรวจคนเข้าเมือง เรียบร้อยก็พบกับคณะของอาสาสมัครฉือจี้ไต้หวันทั้งหญิงและชายจำนวนมากมาตั้งแถวรับ ร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน เป็นเพลงภาษาจีนมีความหมาย ว่าพวกเรายินดีต้อนรับ อะไรทำนองนั้น จากนั้นถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึก แล้วขึ้นรถบัสไปสถานีโทรทัศน์ต้าอ้าย ถึงสถานีโทรทัศน์ต้าอ้ายเวลาประมาณ ๑๓.๓๐ น.
สถานีโทรทัศน์ต้าอ้ายเป็นสถานีโทรทัศน์ชั้นนำของไต้หวัน ตั้งอยู่ที่กรุงไทเป ต้าแปลว่า ยิ่งใหญ่ อ้าย แปลว่า ความรัก รวมแล้ว แปลว่า ความรักอันยิ่งใหญ่ (ที่ชาวฉือจี้นำเอาพระมหาเมตตาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามามอบถวายแด่ชาวโลกทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษา และทุกศาสนา) ต้าอ้ายมีอันดับความนิยมของประชาชน(rating) อยู่อันดับที่ ๖ ของไต้หวัน เป็นสถานีโทรทัศน์ในสังกัดของมูลนิธิพุทธฉือจี้ เป็น high light ของการดูงานในครั้งนี้ เราใช้เวลาดูงานถึง สามทุ่มครึ่งทีเดียว เพราะส่วนใหญ่ในคณะนี้คือสื่อมวลชนไทย เมื่อกลับไปแล้ว ผู้จัดก็คาดหวังว่า จะนำไปคิดว่าจะนำเสนออะไรให้ลูกหลานคนไทยดูบ้าง ครั้งนี้ทางฉือจี้จัดการต้อนรับระดับสูงสุด คณะผู้บริหารของสถานีทุกคน ตลอดจน CEO ล้วนมายืนเข้าแถวต้อนรับกันอย่างพร้อมเพรียง
ตึกอาคารสถานีเป็นตึก ๑๔ ชั้น เปิดดำเนินการมาได้ ๓ ปีแล้ว ถ้าเรามองจากเครื่องบินลงมา จะเห็นตึก เป็นรูปช่อดอกบัว อันเป็นสัญญาลักษณ์ LOGO ของชาวฉือจี้ทั่วโลก ดอกบัวเป็น ดอกไม้มงคล มีกล่าวถึงในพระไตรปิฏกหลายตอน และวัดของท่านธรรมมาจารย์ ก็ตั้งอยู่ในเมือง ฮวาเหลียน แปลเป็นไทยว่า ดอกบัว (ฮวา แปลว่าดอกไม้ เหลียง แปลว่า บัว) หรือ อุบลบุรี หรือ อุบลราชธานี เขาเล่าว่าสิ่งก่อสร้างทุกแห่งของฉือจี้ จะประกอบด้วยปริศนาธรรมทั้งนั้น เป็นสิ่งที่ท่านธรรมมาจารย์ได้ชี้นำทุกขั้นตอนการก่อสร้าง สิ่งก่อสร้างทั้งปวงของมูลนิธิฉือจี้ จะออกมาจาก จิตวิญญาณของท่าน เพื่อให้เป็นสิ่งที่จะสอนคนได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมงและตลอดไป (ดูแล้วข้าพเจ้าคิดถึง โรงมหรสพทางวิญญาณที่สวนโมกข์ มะพร้าวนาฬิเก โบสถ์ที่เขาพุทธทอง ของท่านเจ้าคุณอาจารย์พุทธทาส) อาคารสถานีโทรทัศน์นี้ สร้างด้วยเงินบริจาค และค่าดำเนินการ มาจากเงินบริจาคร้อยละ ๗๕ อีกร้อยละ ๒๕ ได้เงินมาจากการ แยกขยะ และนำมาขาย ทำโดยเหล่าอาสาสมัครฉือจี้กว่า หกหมื่นคนทั่วไต้หวัน รายการต่างๆออกอากาศเป็นภาษาต่างๆ ส่งผ่านดาวเทียม ๑๑ ดวงไปทั่วโลก เป็นที่น่าเสียดาย ไม่มีภาษาไทย สามารถเปิดชมได้ในประเทศไทย คนไทยดูถ้าไม่รู้ภาษาจีนก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรมากนัก
เมื่อพวกเราไปถึงสถานีโทรทัศน์ คณะอาสาสมัครฉือจี้ของไต้หวันก็มาเข้าแถวร้องเพลงต้อนรับกันอย่างสนุกสนาน เพลงที่ร้องต้อนรับ ข้าพเจ้าฟังหลายเที่ยวจนจำได้ เป็นเพลงเดียวกับที่เราฟังที่สนามบิน ตอนเราไปดูงานที่ไหนก็ตาม ก็จะพบบรรยากาศแบบเดียวกันนี้ (ยกเว้นวันที่เราไปที่สมณาราม จะเงียบสงบ)
เขาเชิญพวกเราเข้าไปห้องโถงใหญ่ ซึ่งมีขนาดสูงใหญ่ อลังการ มโหฬารมาก มีรูปท่านธรรมาจารย์เจิ้นเหยียนบนแผ่นผ้าหลังเวทีมีขนาดใหญ่มาก เทียบกับตัว ผู้บรรยายมีขนาดนิดเดียว รอบๆตกแต่งด้วยม่าน และรูปแบบหลังคาฉือจี้รอบๆห้อง ขนาดใหญ่ นับดู ได้แปดเหลี่ยม ใช่ เป็นห้องแปดเหลี่ยม จะมีความหมายว่ามรรคมีองค์แปดหรือเปล่าไม่ทราบ เราไปนั่งที่โต๊ะ จัดเลี้ยงประมาณ 12 โต๊ะ มีอาหารว่าง มีน้ำชา เริ่มต้นก็ มีการแสดงรำภาษามือเพลงโลกนี้มีความรัก ต้อนรับตามธรรมเนียม จากนั้นก็มีการกล่าวต้อนรับ แนะนำผู้บริหารระดับสูงของสถานีที่มาต้อนรับทุกคน จากนั้นก็บรรยายกิจการของสถานี ฉายวีดิทัศน์ประกอบ มีเนื้อหามากมาย ข้าพเจ้าพอสรุปได้ว่า
ท่านธรรมมาจารย์หลังจากได้ตัดสินใจออกบวชเป็นภิกษุณี ตามแนวทางนิกายพุทธมหายาน สำนักมนุษยนิยมของหลวงปู่อิ้นซุ่น(มรณภาพ เมื่อ ๔ มิย. ๒๕๔๘ อายุ ๑๐๑ ปี)แล้วได้มีปณิธาน ตามสำนักที่ท่านบวช ท่านเห็นว่า แดนสุขาวดีที่มนุษย์ทั้งหลายต้องการไปไม่ต้องสวดมนต์อ้อนวอน และรอให้ตายก่อนแล้วถึงจะได้ไปเกิดใหม่บนแดนสุขาวดี ที่ว่าเป็นสวรรค์ทางทิศตะวันตก ที่มีพระพุทธเจ้าอมิตาภะสถิตอยู่ พร้อมสาวกคือ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร(เจ้าแม่กวนอิม) และพระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ อีกท่านหนึ่ง แต่แดนสุขาวดีที่แท้จริงแล้ว อยู่ในโลกใบนี้เอง เราต้องสร้างโลกใบนี้ให้เป็นแดนสุขาวดี โดยการปฏิบัติธรรมให้จิตเราบริสุทธิ โดยการปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ยาก ตามอย่างรูปแบบที่ดีงามของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย สิ่งที่ทำให้โลกนี้แตกสลาย และที่คนเราเดือดร้อนอยู่ทุกวันนี้ เป็นเพราะมนุษย์มีจิตใจไม่บริสุทธิ ตามหลักอมิตาสูตร เมื่อจิตใจเราได้รับการฝึกจนบริสุทธิแล้ว ก็จะเกิดสมาธิ เมื่อมีสมาธิตั้งมั่นก็จะเกิดปัญญา รู้แจ้งแทงตลอด จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
ท่านได้ตั้งมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ชื่อพุทธฉือจี้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙ เพื่อประกอบภารกิจ ๘ ประการได้แก่การกุศล รักษาพยาบาล การศึกษา มนุษยธรรม บรรเทาทุกข์ระหว่างประเทศ บริจาคไขกระดูก อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และอาสาสมัครชุมชน ๔๐ ปีต่อมา มีผลงานออกมามากมายทุกภารกิจ เป็นองค์กรการกุศลที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ภารกิจที่สำคัญอันหนึ่งของท่านคือ เรื่องด้านมนุษย์ธรรม เมื่อได้ดำเนินกิจการของมูลนิธิมาถึงจุดหนึ่ง ที่จะต้องพัฒนาจิตของมนุษย์ให้บริสุทธิ์ เมื่อจิตมนุษย์บริสุทธิ์แล้ว ปัญหาของโลกเราที่ร้อนระอุ ไปด้วยภัยต่างๆ ทั้งภัยจากมนุษย์ด้วยกัน และภัยธรรมชาติก็จะบรรเทาเบาบางลง การชำระจิตมนุษย์ให้บริสุทธิ์ นอกจากจะอาศัยการศึกษา ตั้งแต่ยังเป็นเยาวชนแล้ว อิทธิพลของสื่อสารมวลชนในโลกนี้ ก็เป็นปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สื่อ ทีวี เป็นสื่อที่สามารถชักนำสังคมให้เป็นไปทางดี และไม่ดีได้ ความเดือดร้อนในโลกเราทุกวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งมาจากการสื่อสารมวลชนที่ไม่สร้างสรรค์ วัตถุนิยมทำให้คนอยากได้เงินทอง และความมั่งคั่งโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะตามมา ได้แก่ ภาวะโลกร้อน ภัยธรรมชาติที่มีถี่ขึ้น ค่านิยมด้านคุณธรรม จริยธรรมของมนุษย์เสื่อมลงไป พฤติกรรมมนุษย์หลายประการที่ไม่ดี มาจากการเลียนแบบจากสื่อ ทีวี เป็นต้น สถานีโทรทัศน์ต้องทำทุกอย่างเพื่อผลกำไร และความอยู่รอด โดยไม่คำนึงถึงผลเสียของการนำเสนอ “ยาพิษ” ป้อนให้เยาวชนของโลกได้เสพทุกๆวัน
สถานีโทรทัศน์ ต้าอ้าย ไม่มีโฆษณา นักจัดรายการส่วนใหญ่เป็นอาสาสมัคร ฉือจี้ โดยมากเคยทำงานในสถานีโทรทัศน์เอกชนมาก่อน ต่อมาเกิดความตระหนักถึงผลลัพธ์ที่เกิดจากตนเองได้ทำไป เกิดความสลดใจ เมื่อมีโอกาสได้ทำสิ่งดีๆให้เยาวชนก็ย้ายมาทำที่นี่ หัวหน้าฝ่ายข่าวสาวคนหนึ่ง เล่าให้ผู้มาดูงานตอนหนึ่งว่า ครั้งหนึ่งมีข่าว ชายคนหนึ่งได้ ได้ล่วงละเมิดทางเพศ สาวซึ่งเป็นญาติใกล้ชิด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าละอายมากในสังคมไต้หวัน ผู้สื่อข่าวท่านนี้ ก็ออกตามล่า เก็บข่าวคืบหน้าเรื่องนี้มาออกข่าวทุกๆวัน เพื่อเป็นการลงโทษ โดยการประจานชายผู้นี้ต่อสาธารณะ เพื่อให้สาสมกับที่เขาทำเรื่องไม่ดีงามเช่นนี้ขึ้นมา จนกระทั่งชายผู้นี้ทนไม่ไหว ฆ่าตัวตาย เพราะละอายใจ ไม่สามารถอยู่ในสังคมนี้ได้ จากข่าวที่ถูกแพร่กระจายทุกวัน นักข่าวผู้นี้บอกว่ารู้สึกสลดใจ ในการกระทำของตัวเองมาก แม้ว่าจะไม่ผิดกฎหมาย ไม่ได้เป็นคน “ฆ่า” เขาโดยตรง แต่เธอก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาต้องฆ่าตัวตาย
เมื่อเธอได้มาทำงานให้กับ สถานีโทรทัศน์ต้าอ้าย ปรัชญาการทำงานได้ถูกปรับเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนเป็นการนำเสนอสิ่งที่ดีๆให้กับเพื่อนมนุษย์ทั้งในไต้หวันและทั่วโลก ทำให้คนที่รับข่าวสาร เกิดความรัก ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ชาวโลกด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามจะนับถือศาสนาอะไร ผิวสีอะไร ชาติอะไร ทุกคนเป็นผู้ที่ต้องให้ความรัก ความเมตตาทั้งนั้น เธอได้บรรยายถึงความรู้สึก ความประทับใจ ของการไปสื่อข่าวตอนเกิดมหันตภัยสึนามิที่เกิดเมื่อไม่นานมานี้ เธอทำหน้าที่สะท้อนความเจ็บปวดของมวลประชนชนที่ประสบภัยพิบัติ ให้กับชาวฉือจี้ทั่วโลกและชาวไต้หวันได้ทราบ ทำให้เกิดการระดม เงิน ทุน ฯลฯ ครั้งยิ่งใหญ่ของชาวฉือจี้ และประชาชนทั่วโลกมาช่วยผู้ประสบภัย และในทุกวันนี้ก็ยังช่วยอยู่ไม่หยุด
พวกเราอยู่ในห้องประชุม ฟังเรื่องกิจกรรมของสถานีนานมาก และต่อมาได้ออกไปดูสถานที่ต่างๆในตัวตึก เช่นห้อง ฝึกอ่านรายงานข่าวออกทีวี เจอ คลิบตัวอย่าง ที่คนไทยมาแสดงและอัดรายการไว้ คือพี่ พินิจ ผู้อำนวยการ รพ.นครปฐม และอีกหลายๆคน ไปดูห้องแสดงนิทรรศการ ประวัติและผลงานของท่านธรรมมาจารย์เจิ้นเหยียน เดินขึ้นบันไดเหมือนขึ้นไปตามปีที่ท่านทำงานมา กว่า ๔๐ ปี ไปดูห้องสร้างละคร เขาบอกว่า ละครของต้าอ้ายไม่เคยต้องไปซื้อบทประพันธ์ที่นักเขียนแต่งเรื่องละครขึ้นมาสร้างละคร แต่จะใช้จากชีวิตจริงของผู้ยากไร้ที่ชาวฉือจี้ไปช่วยเหลือไว้มากมาย เป็นเรื่องราวชีวิตจริงที่แทบไม่น่าเชื่อว่า ในโลกนี้จะมีคนที่ตกทุกข์ยากเข็ญได้ถึงขนาดนี้ ละครของต้าอ้าย เป็นละครที่มี Rating สูงสุดในไต้หวัน จนปัจจุบัน ละครน้ำเน่าแบบที่คนไทยชอบดูในไต้หวัน เริ่มลดความนิยมลง หันมาดูละครแบบต้าอ้ายมากขึ้น ช่องอื่นๆก็หันกลับมาสร้างละครแบบต้าอ้ายมาขึ้นเพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดของตนเองไว้ ขึ้นไปถึงชั้นที่เป็นศูนย์บัญชาการของสถานี ก็เป็นห้องที่มีจอทีวีมากมาย และมีคนนั่งดูมากมายเช่นกัน เขาบอกว่าเป็นที่รับสัญญาณข่าวและภาพจาก ผู้สื่อข่าวของต้าอ้ายทั่วโลก จะส่งผ่านดาวเทียมมาเข้าที่ห้องนี้ เพื่อประมวล วิเคราะห์ ตัดต่อ นำเสนอออกอากาศผ่านดาวเทียมไปทั่วไต้หวันและทั่วโลก มีระบบสำรองข้อมูล ระบบฉุกเฉิน คนที่ทำงานมีทั้งระดับเจ้าหน้าที่ (มีเงินเดือน) และระดับอาสาสมัคร(ไม่มีเงินเดือน) รายละเอียด คณะที่มาจากสถานีทีวีเมืองไทยก็ซักถามกันอย่างเอาจริงเอาจัง ข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยเข้าใจทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องทางเทคนิค
แรกๆพวกเราก็ได้อาศัยคุณ วัชราภรณ์ (เจ้าหญิง) อาสาสมัครฉือจี้จากเมืองไทยเป็นล่ามแปล จีนเป็นไทย ไปๆมาๆ ก็พบว่าเจ้าหน้าเทคนิคของสถานี จบจากต่างประเทศกันทั้งนั้น พูดอังกฤษคล่อง เลยพูด ภาษาอังกฤษกันดีกว่า ไม่ต้องรอผ่านล่าม เสียเวลา เขาและเราต่างพอใจ ล่ามเลยไม่ต้องใช้ เจ้าหญิงก็ดีใจ คุณวัชราภรณ์ ตอนหลังมาโพธารามเป็นประจำ มาช่วยอบรมอาสาสมัครที่โพธาราม
มีกระปุกออมสิน แบบพิเศษแสดงให้ดู เวลาหยอดเหรียญทำบุญ เครื่องนี้จะร้องเพลงให้ฟัง ถ้าหยอดน้อย ก็ร้องเพลงขอบคุณแบบสั้น ถ้าหยอดมากก็จะร้องเพลงขอบคุณแบบยาว คนที่ดูรายการของต้าอ้าย ทำบุญมาบำรุงสถานีถึงร้อยละ ๗๕ ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดทีเดียว(เพราะไม่มีรายได้จากการโฆษณา)
ดูเสร็จแล้วยังต้องเข้าห้องประชุมอีก เพราะให้ซักถาม พวกคณะผู้บริหาร CEO ก็ยังอยู่รอให้เราซักถาม ถามกันจนถึงสามทุ่มครึ่งตามเวลาไต้หวัน เขาก็ดูอดทนมากให้เราถามกัน ว่ายินดีให้ถามถึงเที่ยงคืน ข้าพเจ้ารู้สึกไม่ไหวแล้ว เช้านี้ตื่นตั้งแต่ตีสอง ยังไม่ได้งีบเลย ข้าวเย็นก็ยังไม่ได้รับ อาจารย์นราทิพย์ บอกว่างานนี้เป็นการนำสื่อมวลชนไทยมา วันนี้เป็นวันที่ดูสื่อมวลชนต้าอ้าย ซึ่งเป็นช่วงที่มีค่ามากที่สุดสำหรับการเดินทางครั้งนี้ ถ้าไม่เน้นก็จะขาดสาระไป แต่ก็จำต้องยุติลงด้วยเวลา ก็ได้ลากลับ คุณส้มพาไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคารที่มีตึกทรงประหลาดๆ คล้ายวังใต้บาดาล ถ่ายรูปมาไว้ดู บอกว่าเชิญทานตามสบายไม่กำหนดว่าจะกินเจ หรือไม่กินเจ แต่ตั้งแต่พรุ่งนี้ ต้องเจตลอดจนถึงกลับเมืองไทย จากนั้นเข้าที่พัก โรงแรมที่ไทเปใกล้เที่ยงคืน ข้าพเจ้าหลับทันทีที่ถึงห้องพัก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)